วันศุกร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เอากำไรมา Bet

       ต้องออกตัวไว้ก่อนเลยว่าบทนี้เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่มีกลยุทธ์ที่สามารถทำกำไรได้แล้ว เป็นหลัก Money management อีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่อาจอยู่ในตำรา แต่เป็นที่รู้กันดีในหมู่นักพนัน แต่สามารถนำมาใช้กับการจัดสรรเงินทุนของการเทรดได้เช่นกัน


            การนำกำไรมา Bet … คุณลองคิดว่าถ้าคุณทำตามกฏของหลักการจัดการเงินทุนคือคุณต้องจำกัดความเสี่ยงทุกการเทรดอยู่ที่ 1 หรือ 2 % ต่อเทรด เมื่อคุณทำตามเรื่อยๆ เป็นเวลานานเข้า คุณก็จะเริ่มเบื่อ เริ่มส่งผลตอบจิตใจของคุณแล้วว่าการเทรดมันไม่น่าตื่นเต้นเลย ซึ่งวิธีการนี้จะช่วยให้การเทรดของคุณกับการมีชีวิตชีวามากขึ้น แต่ยังอยู่ในกรอบของการเทรดที่ดีอยู่ คือจะไม่สไตล์การเทรด แต่จะใช้หลักการพนันในการจัดสรรเงินทุนในการเทรดเพื่อสร้างสันสีการเทรดให้มากขึ้น

            ตัวอย่างการพนัน … เริ่มต้นด้วยเงินทุน 50 บาท ถ้านำไปแทงที่อัตรา 3 : 1 (ถ้าถูก คือ แทง 1 ได้ 3) สมมติแทงตาแรกชนะจะได้เงิน 150 บาท หลังจากนั้นคือ เราเก็บทุนเราเริ่มต้นที่ 50 บาท เก็บไว้ ดังนั้นจะเหลือเงินแทงต่อที่ 100 บาท และถ้าแทงต่อชนะอีกก็จะได้ 300 บาท หลังจากนั้นอาจแบ่งจำนวนเงินที่แทงออกเป็น 2 กอง กองละ 150 บาท เพื่อนำเอาไปแทงต่อ … จะเห็นได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งหลังๆ นั้น เป็นการจัดแบ่งเงินที่แทงจากกำไรทั้งนั้น ถ้าเขาแทงเสียทั้งหมดในครั้งที่ 2 , 3 , 4 … เขาก็ยังเหลือเงินทุนเริ่มต้น ที่ 50 บาทเพราะเขาได้เก็บเงินทุนไว้ตั้งแต่เริ่ม แต่ถ้าเขาได้เรื่อยๆ กำไรของเขาจะไม่จำกัดเลยทีเดียว

            การนำหลักการมาประยุกต์ใช้กับการเทรด … การเทรดจะแตกต่างการพนันที่ถ้าเรามีกลยุทธ์การเทรดที่สามารถทำกำไรได้ดีแล้ว %win ของเราจะไม่ใช่ 50:50 หรือ risk reward ratio จะไม่เท่ากับ 1:1 แต่จะได้เปรียบกว่า ทำให้ตรงนี้เป็นข้อได้เปรียบในการเทรด ซึ่งการนำกำไรมาเทรดต่อนั้นสามารถสร้างผลตอบแทนของพอร์ตได้อย่างมหาสารถ้าตลาดเป็นใจกับเรา แต่ขณะเดียวกันเราก็ยังสามารถจำกัดความเสี่ยงได้อยู่เช่นเดียวกัน

ทีมงาน : thaiforexbroker.com

อัตราดอกเบี้ยกับค่าเงิน

         ค่าเงินในตลาด Forex นั้นมีผลโดยตรงต่อ อัตราดอกเบี้ย (interest rates) แม้ว่าเทรดเดอร์ส่วนมากจะเป็นสาย Technical แต่ก็ต้องเข้าใจก่อนว่าแนวโน้มหลักของราคานั้นมาจากปัจจัยทางพื้นฐาน (Fundamental) ดังนั้นเราก็ไม่ควรเพิกเชยต่อสิ่งนี้


          ถือว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการส่งผลต่อมูลค่าของค่าเงิน ดังนั้นการที่ธนาคารกลางนั้นกำหนดนโยบายการทางเงินต่างๆ รวมถึงการกำหนดอัตราดอกเบี้ย นั้นเป็นสิ่งที่เทรดเดอร์ต้องจับตามอง
        
ประเทศธนาคารกลาง
AustraliaReserve Bank of Australia (RBA)
CanadaBank of Canada (BOC)
European UnionEuropean Central Bank (ECB)
JapanBank of Japan (BOJ)
New ZealandReserve Bank of New Zealand (RBNZ)
SwitzerlandSwiss National Bank (SNB)
United KingdomBank of England (BOE)
United StatesFederal Reserve (Fed)

            ส่วนการกำหนดอัตราดอกเบี้ยส่วนมากธนาคารกลางนั้นพิจารณาจาก “อัตราเงินเฟ้อ” (inflation) … เงินเฟ้อ

((ภาวะเงินเฟ้อ หมายถึง การที่ระดับราคาสินค้าหรือบริการในระยะเวลาหนึ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง เมื่อราคาสินค้าสูงขึ้น เงินตราหนึ่งหน่วยจึงสามารถซื้อสินค้าและบริการได้น้อยลง ดังนั้นจึงอาจมองได้ว่าภาวะเงินเฟ้อเป็นการสะท้อนถึงอำนาจการซื้อที่ลดลงต่อหนึ่งหน่วยเงินตรา หรือปริมาณการสูญเสียมูลค่าที่แท้จริงของตัวกลางที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนสินค้าในระบบเศรษฐกิจ วิธีวัดค่าความเฟ้อของราคาสินค้าทำโดยการหาอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งจะคำนวณจากการเปลี่ยนแปลงประจำปีของดรรชนีราคาโดยมีหน่วยเป็นอัตราร้อยละ เงินเฟ้อเป็นภาวะตรงข้ามกับภาวะเงินฝืด))

ซึ่งภาวะเงินเฟ้อมีผลต่อเศรษฐกิจทั้ง “บวก” และ “ลบ” ดังนั้นหน้าที่ของธนาคารกลางคือต้องทำให้อัตราเงินเฟ้อนั้นให้เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจ ณ ตอนนั้น โดยใช้เครื่องมืออย่าง “อัตราดอกเบี้ย” ในการควบคุมอัตราเงินเฟ้อ
  • อัตราดอกเบี้ย สูงขึ้น : ประชาชนบริโภคน้อยลง ฝากเงินมากขึ้น (ฝากเงินได้ดอกมาก) , ธุรกิจ กู้น้อยลง (ดอกแพง) , ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง
  • อัตราดอกเบี้ย ต่ำลง : ประชาชนบริโภคมากขึ้น ฝากเงินน้อยลง (ฝากเงินได้ดอกน้อย) , ธุรกิจ กู้มากขึ้น (ดอกถูก) , ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวมากขึ้น

แล้วมันส่งผลอย่างไรก็ตลาด Forex ?
  • ในประเทศที่อัตราดอกเบี้ย สูง ค่าเงินก็จะ แข็งค่า
  • ในประเทศที่อัตราดอกเบี้ย ต่ำ ค่าเงินก็จะ อ่อนค่า
            ทำไมถึงเป็นงี้ล่ะ … ลองนึกภาพตาม ว่ามีธนาคาร 2 ประเทศ ประเทศแรกให้ดอกเบี้ย 2% อีกประเทศให้ 0.5% … เราจะเลือกฝากประเทศไหนล่ะ … คำตอบง่ายๆ เลยคือ ประเทศแรก เพราะว่าให้ดอกเยอะกว่าเยอะ ทำให้เงินไหลออกจากประเทศที่ 2 (อ่อนค่า) และเข้าสู่ประเทศที่ 1 (แข็งค่า)
            ดังนั้นซึ่งกิจกรรมอะไรก็มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยนั้นก็จะส่งผลกระทบต่อค่าเงินในตลาด Forex ด้วยเช่นกัน ทั้งการคาดการณ์ , ภาวะเศรษฐกิจ , การกำหนดนโยบาย และอื่นๆ

ทีมงาน : thaiforexbroker.com

อย่าไล่ราคา

อย่าไล่ราคา


            ถ้าพูดถึงการซื้อของในชีวิตประจำวัน สมมติเราเข้าไปในห้างสรรพสินค้า มีร้านขาย TV อยู่ 2 ร้าน เป็น TV รุ่นเดียวกัน แต่ร้านแรกจัดโปรโมชั่นลด 50% กับอีกร้านขายตามราคาปกติ ถามคำถามง่ายๆเลยว่า เราจะเลือกร้านไหน … เชื่อว่าทุกคนก็ต้องตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ก็ต้องเลือกร้านแรกที่ลด 50% สิ ไม่มีความจำเป็นเลยที่จะไปเลือกร้าน 2

            แล้วถ้าสมมติเหตุการณ์ใหม่ว่า มีร้านขาย TV อยู่ 2 ร้าน เป็น TV รุ่นเดียวกัน ร้านแรกขายตามราคาปกติ กับอีกร้าน บวก ราคาเพิ่ม 25% เราจำเลือกซื้อ TV ร้านไหน ?? … ก็ต้องร้านแรกที่ขายราคาปกติใช้ไหมครับ

            หลายท่านอาจจะงงว่า ตั้งคำถามแบบนี้มาเพื่ออะไร ? มันตอบกันได้ง่ายๆ อยู่แล้ว … แต่เชื่อไหมครับว่า พอเข้ามาอยู่ในโลกแห่งการเทรด เรากลับทำตรงกันข้าม หลายคนมักชอบซื้อของแพง เนื่องจากหลายๆสาเหตุ ทั้งการได้ยินข่าวดีต่างๆ กลัวซื้อไม่ทัน กลัวตกรถ ทำให้รีบเข้าไปซื้อ แม้ราคาตอนนั้นจะแพงก็ตาม

            มือใหม่ส่วนมากมักจะไปไล่ราคากันในช่วงที่ราคากำลังขึ้น มีข่าวดี กลัวซื้อไม่ทัน ซึ่งมักเป็นช่วงที่ราคาเกิดการ Breakout ที่มักสอนกันในตำรา Technical ทั่วไปว่า ถ้าเกิดการ Breakout ให้ซื้อตาม และการกระทำเช่นนี้ทำให้พวกมืออาชีพรู้กันดีว่า มือใหม่ชอบทำอะไรกัน จึงเกิดเหตุการณ์ “ดัดหลัง” พวกมือใหม่อยู่บ่อยครั้ง โดยการทำให้เกิด Fail breakout หรือตบให้มือใหม่ที่เข้าซื้อตอน Breakout มาหลุด Stop loss ให้มือใหม่คลายของแล้วค่อยขึ้น


เชื่อว่าเหตุการณ์นี้หลายคนคงเคยเจออยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งฝั่งขาลงก็เช่นกัน


          ซึ่งพวกนั้นมักเป็นการเขย่าพวกมือใหม่ให้หลุดก่อนที่จะไปในทิศทางที่มืออาชีพจะให้มันเป็น ตรงนี้ต้องระวังอย่างมาก … วิธีการแก้ไขปัญหานี้ คือ รอเทรดในช่วงที่ราคากลับเข้ามา หลังเกิด Fail breakout ซึ่งจะทำให้โอกาสการชนะมีสูงขึ้นอย่างมาก แต่ยังมีวิธีการแก้ไขอีกมากมาย เช่น ขยายจุด Stop loss, ดูแนวรับแนวต้านประกอบ , ตรวจเช็ค Momentum ว่าเป็นการ Break จริงหรือหลอก เป็นต้น จะกล่าวเพิ่มในบทความถัดไปนะครับ

ทีมงาน : thaiforexbroker.com

อย่ารีบ

       บ่อยครั้งมากที่เห็นเทรดเดอร์มือใหม่ที่พึ่งจะศึกษา หรือสำเร็จวิธีการเทรดจากสำนักต่างๆ แล้วก็ความอยากเทรดอย่างมาก อยากลองของ กลัวพลาดโอกาสสำคัญๆไป โดยเข้าไปเทรดเดอร์อย่างเมามัน เทรดมันทุกคู่สกุลเงิน เทรดมันทั้งวัน ไล่ล่าหาจังหวะเทรด ... ซึ่งสุดท้ายแล้วพวกมือใหม่ที่เป็นแบบนี้ 99% มักจบด้วยการพ่ายแพ้ให้กับตลาดในที่สุด


ซึ่งถ้าลองไปถามพวกเทรดเดอร์มืออาชีพที่สามารถทำกำไรได้เรื่อยๆ ว่าสนุกกับการเทรดไหม เขาเหล่านี้มักจะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า การเทรดเป็นเรื่องน่าเบื่อ ต้องเตรียมแผนการเทรด และก็ทำตามแผนการเทรด แค่นั้นเอง … ซึ่งเทรดเดอร์มือใหม่มักไม่เป็นอย่างนี้ มักรอไม่เป็น มักไล่ล่าหาสัญญาณเทรด มักเทรดตามอารมณ์ มักไม่วางแผนการเทรด ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะนำพาไปสู่หายนะในการเทรด … ซึ่งถ้าเรามีอารมณ์ในการเทรดเมื่อไหร่ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์การอยากเทรด , การตื่นเต้น , โลภ , กลัว และต่างๆ นั่นแหละเป็นสัญญาณว่าเรากำลังทำข้อผิดพลาดของการเทรดอย่างร้ายแรง

ซึ่งการเทรดที่ดีนั้นควรจะเทรดในจังหวะที่เรามีโอกาสชนะสูง , มีแผนรองรับ , มีหลักการ , มีเหตุผล ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันมาจากการวางแผนการเทรดของเราตั้งแต่แรก และแค่เราทำตามแผนการเทรดที่วางไว้ ไม่ล้อเล่นกับการเทรด ไม่เอาการเทรดมีเป็นการพนัน ทำให้มันเป็นอาชีพ ทำให้มันเป็นการสร้างความมั่งคั่งของเราให้ได้ ซึ่งลองคิดดูง่ายๆเลยนะครับว่า มีอาชีพไหนที่ทำเล่นๆแล้วได้เงินแบบง่ายๆในโลกไหมละครับ … ไม่มี! … การเทรดก็เช่นเดียวกัน ไม่ใช่ว่าเราจะเข้ามาในตลาดเพียง 5 วันแล้วจะเอาเงินออกไปได้ ไม่ใช่ว่าเราแค่นั่งคลิ๊ก 2 – 3 คลิ๊กก็ได้เงิน ไม่มีหรอกครับ มีแต่ต้องศึกษาอย่างหนัก ฝึกฝนประสบการณ์อย่างต่อเนื่อง มีวินัยในการเทรดอย่างเคร่งครัด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต่างหากที่จะสร้างรายได้ให้กับเราได้



ทีมงาน : thaiforexbroker.com

อธิบาย CCI

            อีกหนึ่ง Indicator ที่สามารถนำมาใช้วัดระดับ Overbought และ Oversold เพื่อมาประกอบการตัดสินใจและเพิ่มโอกาสการชนะให้มากขึ้นในการเทรด โดยถ้าค่า CCI มากกว่า 100 ขึ้นไปจะแสดงถึงการขึ้นของราคานั้นเร็วและสูงเกินไป เป็นเหตุการณ์ไม่ปกติ ทำให้ราคามีโอกาสสูงที่จะย่อตัวกลับมาสูงค่าเฉลี่ยของมันในช่วงอันใกล้นี้

            และถ้า CCI ลงต่ำกว่าระดับ 100 ก็จะแสดงถึงภาวะ Oversold ของราคา ราคาได้มีแรงขายที่ผิดปกติ และคาดว่าในระยะสั้นราคามีโอกาสดีดกลับเข้าหาเฉลี่ยเดิมของมัน

            สรุปสั้นๆ ได้ว่า CCI ไว้วัดว่าราคาฉีกหนีค่าเฉลี่ยปกติของมันมากน้อยเพียงใด และตามธรรมชาติราคาจะเคลื่อนไหวกลับหาค่าเฉลี่ยของมัน ซึ่งนี่เป็นโอกาสการเข้าเทรด
            ส่วนถ้าว่ากันตามตำราทั่วไปในการเทรด CCI นั้นจะซื้อ ขายเมื่อ
                   - ซื้อเมื่อราคา ขึ้นจาก -100
                   - ขายเมื่อราคา ลงจาก +100
            ซึ่งวิธีการทั่วไปนี้มักจะเจอปัญหาหลักๆ คือ ช้า กว่าจะเข้าราคาก็ขึ้นไปแล้ว หรือกว่าจะออกราคาก็ลงไปแล้ว

            ซึ่งการใช้เจ้าเครื่องมือ CCI นี้จากประสบการณ์ส่วนตัวแล้วนั้นให้ใช้ดู Divergence ควบคู่กับ แนวรับแนวต้าน มาประกอบการเทรด ดีกว่าที่จะใช้เทรดตามหลักทั่วไป

            เราจะเข้าซื้อเมื่อราคาเกิดสัญญาณ Bullish divergence กับ CCI (ราคาทำ Lower Low แต่ CCI ทำ Higher Low) และขณะเดียวกันบริเวณนั้นเป็นบริเวณแนวรับสำคัญ ซึ่งวิธีการนี้จะสร้างประสิทธิภาพการเทรดได้ดีขึ้น มากกว่าการใช้ CCI โดยอย่างเดียวในการเทรด ลองนำไปใช้กันดูนะครับ

ทีมงาน : thaiforexbroker.com

หลีกเลี่ยงการคาดหวังผลตอบแทนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง

หลีกเลี่ยงการคาดหวังผลตอบแทนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง


            เมื่อเข้ามาในตลาดใหม่ๆ หลายคนมักตั้งเป้าหมายในการเทรดให้กับตัวเองว่า แต่ละเดือนเราต้องทำกำไรกี่เปอร์เซ็น หรือแต่ละปีพอร์ตเราต้องโตเท่าไหร่ ซึ่งทุกคนต้องเคยเป็นเช่นนี้ครับ แต่อยากให้เข้าใจว่าการเทรดนั้นก็เหมือนการประกอบอาชีพอื่นๆ เช่น นักกีฬาฟุตบอล , ทนายความ , นักบัญชี , นักแสดง ,นักร้อง และอื่นๆ ซึ่งทุกอาชีพต้องอาศัยประสบการณ์ อาศัยการเรียนรู้ บ่มความสามารถจนถึงจุดๆนึง ถึงจะสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเทรดก็เช่นเดียวกัน มันเป็นไปได้ยากที่มือใหม่ที่พึ่งจะเข้ามาในตลาด แล้วจะสามารถทำกำไรได้ต่อเนื่องตั้งแต่เริ่ม เราต้องมีความรู้ในระดับหนึ่งก่อน และประสบการณ์ที่คอยสอนเรา จนเราสามารถประคองตัวเองสร้างกำไรได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งกว่าจะถึงระดับนั้นก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆ 1 ปีเป็นอย่างต่ำ

            การเริ่มต้นเข้ามาเทรดในช่วงแรกนั้นอย่าพึ่งไปโฟกัสที่ผลตอบแทนในอนาคตที่จะเกิดขึ้น ให้มาโฟกัสที่กระบวนการการเรียนรู้ก่อน เก็บประสบการณ์ให้เยอะที่สุด และสิ่งสำคัญคือต้องทำอย่างไรก็ได้ไม่ได้พอร์ตเราแตกในระหว่างนี้ เพราะว่าอาชีพเทรดเดอร์นั้นมีเครื่องมือทำมาหากินคือ “เงิน” ถ้าไม่หากเงินเราหมด เราก็จะไม่มีเงินไปหาเงิน ดังนั้น ในช่วงแรกให้รักษาเงินต้นไว้ให้ได้ก่อน เทรดอย่างไรก็ได้ให้เงินต้นไม่หาย แม้จะไม่กำไรในปีแรกๆ ไม่เป็นไร ขอแค่เงินต้นไม่หายก็ถือว่าประสบความสำเร็จกว่ามือใหม่ทั่วไปมากๆแล้วครับ เราจะสามารถเทรดไปด้วย เรียนไปด้วยได้ จนวันหนึ่งเราสามารถสร้างกำไรได้อย่างต่อเนื่องได้แล้ว เดี๋ยวกำไรจะมาเองครับ

ทีมงาน : thaiforexbroker.com

หลักของพฤติกรรมราคา

หลักของพฤติกรรมราคา


            การศึกษาพฤติกรรมราคาเป็นสิ่งที่เหล่าเทรดเดอร์สาย Price action มักให้ความสำคัญกับสิ่งนี้อย่างยิ่ง โดยมีหลักการพื้นฐานอยู่ 4 อย่างที่ถือเป็นเสาหลักของศึกษานี้ ถ้าเข้าใจถึงหลักการก็จะทำให้เทรดเดอร์สามารถพัฒนาวิธีการเทรดของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งหลักการเหล่านี้สามารถใช้ได้กับทุก Time frame ทุกตลาด เนื่องจากเป็นเป็นหลักการพื้นฐานพฤติกรรมของราคา

หลักการที่ 1 : ราคามีโอกาสเคลื่อนไหวต่อตามแนวโน้มเดิม มากกว่าที่จะกลับตัว
            เป็นหนึ่งในทฤษฎีของ Dow ที่ว่าราคาจะเคลื่อนไหวไปต่อในแนวโน้มเดิมเรื่อยๆ จนกว่าจะเกิดสัญญาณการกลับตัว ซึ่งประโยคนี้จะชี้ให้เห็นว่าโอกาสในไปต่อนั้นมีมากกว่าการกลับตัว ส่วนการพิจารณาแนวโน้มตามหลักของ Dow นั้นคือ แนวโน้มขาขึ้น : ราคาทำ Higher High และ Higher Low ส่วนแนวโน้มขาลง : ราคาทำ Lower Low และ Lower High
            ช่วงการแกว่งตัวของราคาในแนวโน้มขาขึ้น การแกว่งขึ้นจะมีระยะทางมากกว่า การแกว่งลง และในทางตรงกันข้ามในแนวโน้มขาลง การแกว่งตัวลงมีระยะทางมากกว่า การแกว่งตัวขึ้น … ซึ่งตรงนี้เทรดเดอร์สาย Swing trade ชอบนำหลักการนี้มาใช้ในการเทรด

หลักการที่ 2 : โมเมนตัมมาก่อนราคา
            โมเมนตัมเป็น “Leading” indicator ซึ่งเป็นตัวนำราคา ถ้าโมเมนตัมสร้าง High หรือ Low ใหม่ ราคาก็มักจะทำ High หรือ Low ใหม่ตามมาเช่นกัน
            ในใช้เครื่องมือวัดโมเมนตัมนั้นสามารถทำได้หลายวิธี โดยส่วนมากมักใช้ ROC หรือ Rate of change ไว้เป็นเครื่องมือไว้วัดโมเมนตัม
            เทรดเดอร์ควรพิจารณาในการเทรดช่วงที่โมเมนตัมสร้าง High หรือ Low ใหม่ มันสามารถเป็นตัวบ่งชี้ว่าราคามีโอกาสไปต่อ หรืออาจเกิดภาพ Breakout จากกรอบ Sideway ก็ได้
            และที่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ทราบกันดีคือการดู Divergence หรือการเปลี่ยนแปลงของโมเมนตัมที่ไม่สอดคล้องกับราคา เพื่อหาช่วงการเปลี่ยนแนวโน้ม

หลักการที่ 3 : แนวโน้มมักจะจบในช่วง Climax
            ช่วง Climax คือช่วงที่ราคาการ Panic buy หรือ Panic sell ถ้าให้เห็นภาพคือช่วงที่ราคาวิ่งไปแรงๆแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ซึ่งสามารถสังเกตได้จากการเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลของความผันผวน , ปริมาณการซื้อขาย หรือช่วงการแกว่งตัวของราคา ณ วันนั้น
            ซึ่งมันสามารถบอกได้ว่า ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย รายสุดท้ายได้เกิดการ Match กันเกิดขึ้น จนถึงๆ จุดที่เหมาะสม และหลังจากนั้นราคาจะเริ่มกลับสู่จุดที่มันควรจะเป็นอีกครั้ง
หลักการที่ 4 : การแกว่งตัวของราคามีอยู่ 2 อย่าง คือ Sideway หรือ Trending
            ในช่วงที่ราคาหาจุดเหมาะสมได้แล้ว ราคาก็จะไม่ไปไหน แกว่งตัวในช่วงบริเวณนั้น หรือที่เรียกว่า Sideway แต่ถ้าช่วงไหนที่ระดับเหมาะสมของราคาเปลี่ยนแปลงไป ราคาก็เคลื่อนไหวไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหาจุดเหมาะสมนั้นเจอ หรือที่เรียกว่า Trending

ทีมงาน : thaiforexbroker.com