ถ้าให้จัดแบ่งประเภท Indicator ออกตามลักษณะการวิเคราะห์นั้นก็จะสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ Leading indicator กับ lagging indicator
- Leading indicator (นำ): เป็น Indicator ที่ให้สัญญาณก่อนจะเกิดแนวโน้มใหม่ หรือก่อนที่การกลับตัวของราคาจะเกิดขึ้น
- Lagging indicator (ตาม): เป็น Indicator ที่ให้สัญญาณหลังแนวโน้มเกิดขึ้นแล้ว เป็นการยืนยันทิศทางว่าเรากำลังอยู่ในแนวโน้มที่ถูกต้อง
พอได้ยินอย่างนี้แล้วคนทั่วไปก็จะคิดว่า อ้าว แล้วอย่างงี้เราก็ใช้เฉพาะ Leading indicator เพื่อที่จะหาจุดกลับตัว หาจังหวะการเปลี่ยนแนวโน้มก่อน แล้วก็เข้าไปทำกำไรจากตรงนั้น … ก็ถูกในระดับหนึ่ง แต่อย่างก็ดีต้องเข้าใจก็ว่า Leading indicator นั้นมันก็ไม่ได้ถูกต้อง 100% เสมอไป โอกาสผิดพลาดนั้นมีมากเช่นกัน … แล้วในส่วน Lagging indicator ล่ะ ก็เช่นกัน เราจะสามารถรับรู้ได้แล้วว่าแนวโน้นนั้นเป็นแนวโน้มอะไรหลังจากที่มันเกิดขึ้นไปสักพักนึงแล้ว ทำให้ข้อเสียของมันเลยคือเราจะเข้าช้ากว่าคนอื่น

ซึ่งเทรดเดอร์ที่ดีควรนำ 2 สิ่งนี้มาใช้ แล้วดึงประโยชน์ของแต่ละ Indicator เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรดให้ได้มากที่สุด
Leading indicator
โดยส่วนมากจะเป็นพวก Oscillators เช่น RSI , Stochastic , Parabolic SAR เป็นต้น ในส่วนด้านล่างเป็นตัวอย่างการใช้งาน Indicator เหล่านี้

ทางขวาดมือ สัญญาณทั้ง 3 สัญญาณให้สัญญาณพร้อมกันว่าเป็นจังหวะเข้าซื้อ ก็แสดงให้เห็นถึงโอกาสการปรับตัวขึ้นนั้นมีมาก ถ้า Indicator ต่างๆ ชี้ไปในทางเดียวกัน … แต่ถ้าเป็นในส่วนของภาพทางซ้ายมือ Indicator ไม่ได้ส่งสัญญาณไปในทางทิศทางเดียวกัน ทำให้บ่งชี้ไม่ชัดเจนว่าราคาจะไปในทิศทางใด
Lagging indicator
พวก Trend-following หรือ Momentum indicators
ในที่นี้จะยกตัวอย่างก็ใช้เครื่องมืออย่าง MACD และ EMA ที่เป็นเครื่องมือ Trend-following หรือเทรดตามแนวโน้ม จะเข้าเมื่อราคานั้นเกิดเป็นแนวโน้มขึ้นแล้วค่อยเข้าตาม

แต่ละ Indicator ก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันออกไป วิธีการคำนวณก็ต่างกัน ก่อนที่เทรดเดอร์จะเลือกเครื่องมือนั้นก็ควรศึกษาเครื่องมือนั้นก่อนว่ามีสูตรคำนวณอย่างไร ใช้วัดอะไร มีข้อดีและข้อเสียอย่างไร เพื่อที่จะนำเครื่องมือต่างๆเหล่านี้ไปสร้างกลยุทธ์ในการเทรดต่อไป
ทีมงาน : thaiforexbroker.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น