วันศุกร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เอากำไรมา Bet

       ต้องออกตัวไว้ก่อนเลยว่าบทนี้เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่มีกลยุทธ์ที่สามารถทำกำไรได้แล้ว เป็นหลัก Money management อีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่อาจอยู่ในตำรา แต่เป็นที่รู้กันดีในหมู่นักพนัน แต่สามารถนำมาใช้กับการจัดสรรเงินทุนของการเทรดได้เช่นกัน


            การนำกำไรมา Bet … คุณลองคิดว่าถ้าคุณทำตามกฏของหลักการจัดการเงินทุนคือคุณต้องจำกัดความเสี่ยงทุกการเทรดอยู่ที่ 1 หรือ 2 % ต่อเทรด เมื่อคุณทำตามเรื่อยๆ เป็นเวลานานเข้า คุณก็จะเริ่มเบื่อ เริ่มส่งผลตอบจิตใจของคุณแล้วว่าการเทรดมันไม่น่าตื่นเต้นเลย ซึ่งวิธีการนี้จะช่วยให้การเทรดของคุณกับการมีชีวิตชีวามากขึ้น แต่ยังอยู่ในกรอบของการเทรดที่ดีอยู่ คือจะไม่สไตล์การเทรด แต่จะใช้หลักการพนันในการจัดสรรเงินทุนในการเทรดเพื่อสร้างสันสีการเทรดให้มากขึ้น

            ตัวอย่างการพนัน … เริ่มต้นด้วยเงินทุน 50 บาท ถ้านำไปแทงที่อัตรา 3 : 1 (ถ้าถูก คือ แทง 1 ได้ 3) สมมติแทงตาแรกชนะจะได้เงิน 150 บาท หลังจากนั้นคือ เราเก็บทุนเราเริ่มต้นที่ 50 บาท เก็บไว้ ดังนั้นจะเหลือเงินแทงต่อที่ 100 บาท และถ้าแทงต่อชนะอีกก็จะได้ 300 บาท หลังจากนั้นอาจแบ่งจำนวนเงินที่แทงออกเป็น 2 กอง กองละ 150 บาท เพื่อนำเอาไปแทงต่อ … จะเห็นได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งหลังๆ นั้น เป็นการจัดแบ่งเงินที่แทงจากกำไรทั้งนั้น ถ้าเขาแทงเสียทั้งหมดในครั้งที่ 2 , 3 , 4 … เขาก็ยังเหลือเงินทุนเริ่มต้น ที่ 50 บาทเพราะเขาได้เก็บเงินทุนไว้ตั้งแต่เริ่ม แต่ถ้าเขาได้เรื่อยๆ กำไรของเขาจะไม่จำกัดเลยทีเดียว

            การนำหลักการมาประยุกต์ใช้กับการเทรด … การเทรดจะแตกต่างการพนันที่ถ้าเรามีกลยุทธ์การเทรดที่สามารถทำกำไรได้ดีแล้ว %win ของเราจะไม่ใช่ 50:50 หรือ risk reward ratio จะไม่เท่ากับ 1:1 แต่จะได้เปรียบกว่า ทำให้ตรงนี้เป็นข้อได้เปรียบในการเทรด ซึ่งการนำกำไรมาเทรดต่อนั้นสามารถสร้างผลตอบแทนของพอร์ตได้อย่างมหาสารถ้าตลาดเป็นใจกับเรา แต่ขณะเดียวกันเราก็ยังสามารถจำกัดความเสี่ยงได้อยู่เช่นเดียวกัน

ทีมงาน : thaiforexbroker.com

อัตราดอกเบี้ยกับค่าเงิน

         ค่าเงินในตลาด Forex นั้นมีผลโดยตรงต่อ อัตราดอกเบี้ย (interest rates) แม้ว่าเทรดเดอร์ส่วนมากจะเป็นสาย Technical แต่ก็ต้องเข้าใจก่อนว่าแนวโน้มหลักของราคานั้นมาจากปัจจัยทางพื้นฐาน (Fundamental) ดังนั้นเราก็ไม่ควรเพิกเชยต่อสิ่งนี้


          ถือว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการส่งผลต่อมูลค่าของค่าเงิน ดังนั้นการที่ธนาคารกลางนั้นกำหนดนโยบายการทางเงินต่างๆ รวมถึงการกำหนดอัตราดอกเบี้ย นั้นเป็นสิ่งที่เทรดเดอร์ต้องจับตามอง
        
ประเทศธนาคารกลาง
AustraliaReserve Bank of Australia (RBA)
CanadaBank of Canada (BOC)
European UnionEuropean Central Bank (ECB)
JapanBank of Japan (BOJ)
New ZealandReserve Bank of New Zealand (RBNZ)
SwitzerlandSwiss National Bank (SNB)
United KingdomBank of England (BOE)
United StatesFederal Reserve (Fed)

            ส่วนการกำหนดอัตราดอกเบี้ยส่วนมากธนาคารกลางนั้นพิจารณาจาก “อัตราเงินเฟ้อ” (inflation) … เงินเฟ้อ

((ภาวะเงินเฟ้อ หมายถึง การที่ระดับราคาสินค้าหรือบริการในระยะเวลาหนึ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง เมื่อราคาสินค้าสูงขึ้น เงินตราหนึ่งหน่วยจึงสามารถซื้อสินค้าและบริการได้น้อยลง ดังนั้นจึงอาจมองได้ว่าภาวะเงินเฟ้อเป็นการสะท้อนถึงอำนาจการซื้อที่ลดลงต่อหนึ่งหน่วยเงินตรา หรือปริมาณการสูญเสียมูลค่าที่แท้จริงของตัวกลางที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนสินค้าในระบบเศรษฐกิจ วิธีวัดค่าความเฟ้อของราคาสินค้าทำโดยการหาอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งจะคำนวณจากการเปลี่ยนแปลงประจำปีของดรรชนีราคาโดยมีหน่วยเป็นอัตราร้อยละ เงินเฟ้อเป็นภาวะตรงข้ามกับภาวะเงินฝืด))

ซึ่งภาวะเงินเฟ้อมีผลต่อเศรษฐกิจทั้ง “บวก” และ “ลบ” ดังนั้นหน้าที่ของธนาคารกลางคือต้องทำให้อัตราเงินเฟ้อนั้นให้เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจ ณ ตอนนั้น โดยใช้เครื่องมืออย่าง “อัตราดอกเบี้ย” ในการควบคุมอัตราเงินเฟ้อ
  • อัตราดอกเบี้ย สูงขึ้น : ประชาชนบริโภคน้อยลง ฝากเงินมากขึ้น (ฝากเงินได้ดอกมาก) , ธุรกิจ กู้น้อยลง (ดอกแพง) , ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง
  • อัตราดอกเบี้ย ต่ำลง : ประชาชนบริโภคมากขึ้น ฝากเงินน้อยลง (ฝากเงินได้ดอกน้อย) , ธุรกิจ กู้มากขึ้น (ดอกถูก) , ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวมากขึ้น

แล้วมันส่งผลอย่างไรก็ตลาด Forex ?
  • ในประเทศที่อัตราดอกเบี้ย สูง ค่าเงินก็จะ แข็งค่า
  • ในประเทศที่อัตราดอกเบี้ย ต่ำ ค่าเงินก็จะ อ่อนค่า
            ทำไมถึงเป็นงี้ล่ะ … ลองนึกภาพตาม ว่ามีธนาคาร 2 ประเทศ ประเทศแรกให้ดอกเบี้ย 2% อีกประเทศให้ 0.5% … เราจะเลือกฝากประเทศไหนล่ะ … คำตอบง่ายๆ เลยคือ ประเทศแรก เพราะว่าให้ดอกเยอะกว่าเยอะ ทำให้เงินไหลออกจากประเทศที่ 2 (อ่อนค่า) และเข้าสู่ประเทศที่ 1 (แข็งค่า)
            ดังนั้นซึ่งกิจกรรมอะไรก็มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยนั้นก็จะส่งผลกระทบต่อค่าเงินในตลาด Forex ด้วยเช่นกัน ทั้งการคาดการณ์ , ภาวะเศรษฐกิจ , การกำหนดนโยบาย และอื่นๆ

ทีมงาน : thaiforexbroker.com

อย่าไล่ราคา

อย่าไล่ราคา


            ถ้าพูดถึงการซื้อของในชีวิตประจำวัน สมมติเราเข้าไปในห้างสรรพสินค้า มีร้านขาย TV อยู่ 2 ร้าน เป็น TV รุ่นเดียวกัน แต่ร้านแรกจัดโปรโมชั่นลด 50% กับอีกร้านขายตามราคาปกติ ถามคำถามง่ายๆเลยว่า เราจะเลือกร้านไหน … เชื่อว่าทุกคนก็ต้องตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ก็ต้องเลือกร้านแรกที่ลด 50% สิ ไม่มีความจำเป็นเลยที่จะไปเลือกร้าน 2

            แล้วถ้าสมมติเหตุการณ์ใหม่ว่า มีร้านขาย TV อยู่ 2 ร้าน เป็น TV รุ่นเดียวกัน ร้านแรกขายตามราคาปกติ กับอีกร้าน บวก ราคาเพิ่ม 25% เราจำเลือกซื้อ TV ร้านไหน ?? … ก็ต้องร้านแรกที่ขายราคาปกติใช้ไหมครับ

            หลายท่านอาจจะงงว่า ตั้งคำถามแบบนี้มาเพื่ออะไร ? มันตอบกันได้ง่ายๆ อยู่แล้ว … แต่เชื่อไหมครับว่า พอเข้ามาอยู่ในโลกแห่งการเทรด เรากลับทำตรงกันข้าม หลายคนมักชอบซื้อของแพง เนื่องจากหลายๆสาเหตุ ทั้งการได้ยินข่าวดีต่างๆ กลัวซื้อไม่ทัน กลัวตกรถ ทำให้รีบเข้าไปซื้อ แม้ราคาตอนนั้นจะแพงก็ตาม

            มือใหม่ส่วนมากมักจะไปไล่ราคากันในช่วงที่ราคากำลังขึ้น มีข่าวดี กลัวซื้อไม่ทัน ซึ่งมักเป็นช่วงที่ราคาเกิดการ Breakout ที่มักสอนกันในตำรา Technical ทั่วไปว่า ถ้าเกิดการ Breakout ให้ซื้อตาม และการกระทำเช่นนี้ทำให้พวกมืออาชีพรู้กันดีว่า มือใหม่ชอบทำอะไรกัน จึงเกิดเหตุการณ์ “ดัดหลัง” พวกมือใหม่อยู่บ่อยครั้ง โดยการทำให้เกิด Fail breakout หรือตบให้มือใหม่ที่เข้าซื้อตอน Breakout มาหลุด Stop loss ให้มือใหม่คลายของแล้วค่อยขึ้น


เชื่อว่าเหตุการณ์นี้หลายคนคงเคยเจออยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งฝั่งขาลงก็เช่นกัน


          ซึ่งพวกนั้นมักเป็นการเขย่าพวกมือใหม่ให้หลุดก่อนที่จะไปในทิศทางที่มืออาชีพจะให้มันเป็น ตรงนี้ต้องระวังอย่างมาก … วิธีการแก้ไขปัญหานี้ คือ รอเทรดในช่วงที่ราคากลับเข้ามา หลังเกิด Fail breakout ซึ่งจะทำให้โอกาสการชนะมีสูงขึ้นอย่างมาก แต่ยังมีวิธีการแก้ไขอีกมากมาย เช่น ขยายจุด Stop loss, ดูแนวรับแนวต้านประกอบ , ตรวจเช็ค Momentum ว่าเป็นการ Break จริงหรือหลอก เป็นต้น จะกล่าวเพิ่มในบทความถัดไปนะครับ

ทีมงาน : thaiforexbroker.com

อย่ารีบ

       บ่อยครั้งมากที่เห็นเทรดเดอร์มือใหม่ที่พึ่งจะศึกษา หรือสำเร็จวิธีการเทรดจากสำนักต่างๆ แล้วก็ความอยากเทรดอย่างมาก อยากลองของ กลัวพลาดโอกาสสำคัญๆไป โดยเข้าไปเทรดเดอร์อย่างเมามัน เทรดมันทุกคู่สกุลเงิน เทรดมันทั้งวัน ไล่ล่าหาจังหวะเทรด ... ซึ่งสุดท้ายแล้วพวกมือใหม่ที่เป็นแบบนี้ 99% มักจบด้วยการพ่ายแพ้ให้กับตลาดในที่สุด


ซึ่งถ้าลองไปถามพวกเทรดเดอร์มืออาชีพที่สามารถทำกำไรได้เรื่อยๆ ว่าสนุกกับการเทรดไหม เขาเหล่านี้มักจะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า การเทรดเป็นเรื่องน่าเบื่อ ต้องเตรียมแผนการเทรด และก็ทำตามแผนการเทรด แค่นั้นเอง … ซึ่งเทรดเดอร์มือใหม่มักไม่เป็นอย่างนี้ มักรอไม่เป็น มักไล่ล่าหาสัญญาณเทรด มักเทรดตามอารมณ์ มักไม่วางแผนการเทรด ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะนำพาไปสู่หายนะในการเทรด … ซึ่งถ้าเรามีอารมณ์ในการเทรดเมื่อไหร่ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์การอยากเทรด , การตื่นเต้น , โลภ , กลัว และต่างๆ นั่นแหละเป็นสัญญาณว่าเรากำลังทำข้อผิดพลาดของการเทรดอย่างร้ายแรง

ซึ่งการเทรดที่ดีนั้นควรจะเทรดในจังหวะที่เรามีโอกาสชนะสูง , มีแผนรองรับ , มีหลักการ , มีเหตุผล ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันมาจากการวางแผนการเทรดของเราตั้งแต่แรก และแค่เราทำตามแผนการเทรดที่วางไว้ ไม่ล้อเล่นกับการเทรด ไม่เอาการเทรดมีเป็นการพนัน ทำให้มันเป็นอาชีพ ทำให้มันเป็นการสร้างความมั่งคั่งของเราให้ได้ ซึ่งลองคิดดูง่ายๆเลยนะครับว่า มีอาชีพไหนที่ทำเล่นๆแล้วได้เงินแบบง่ายๆในโลกไหมละครับ … ไม่มี! … การเทรดก็เช่นเดียวกัน ไม่ใช่ว่าเราจะเข้ามาในตลาดเพียง 5 วันแล้วจะเอาเงินออกไปได้ ไม่ใช่ว่าเราแค่นั่งคลิ๊ก 2 – 3 คลิ๊กก็ได้เงิน ไม่มีหรอกครับ มีแต่ต้องศึกษาอย่างหนัก ฝึกฝนประสบการณ์อย่างต่อเนื่อง มีวินัยในการเทรดอย่างเคร่งครัด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต่างหากที่จะสร้างรายได้ให้กับเราได้



ทีมงาน : thaiforexbroker.com

อธิบาย CCI

            อีกหนึ่ง Indicator ที่สามารถนำมาใช้วัดระดับ Overbought และ Oversold เพื่อมาประกอบการตัดสินใจและเพิ่มโอกาสการชนะให้มากขึ้นในการเทรด โดยถ้าค่า CCI มากกว่า 100 ขึ้นไปจะแสดงถึงการขึ้นของราคานั้นเร็วและสูงเกินไป เป็นเหตุการณ์ไม่ปกติ ทำให้ราคามีโอกาสสูงที่จะย่อตัวกลับมาสูงค่าเฉลี่ยของมันในช่วงอันใกล้นี้

            และถ้า CCI ลงต่ำกว่าระดับ 100 ก็จะแสดงถึงภาวะ Oversold ของราคา ราคาได้มีแรงขายที่ผิดปกติ และคาดว่าในระยะสั้นราคามีโอกาสดีดกลับเข้าหาเฉลี่ยเดิมของมัน

            สรุปสั้นๆ ได้ว่า CCI ไว้วัดว่าราคาฉีกหนีค่าเฉลี่ยปกติของมันมากน้อยเพียงใด และตามธรรมชาติราคาจะเคลื่อนไหวกลับหาค่าเฉลี่ยของมัน ซึ่งนี่เป็นโอกาสการเข้าเทรด
            ส่วนถ้าว่ากันตามตำราทั่วไปในการเทรด CCI นั้นจะซื้อ ขายเมื่อ
                   - ซื้อเมื่อราคา ขึ้นจาก -100
                   - ขายเมื่อราคา ลงจาก +100
            ซึ่งวิธีการทั่วไปนี้มักจะเจอปัญหาหลักๆ คือ ช้า กว่าจะเข้าราคาก็ขึ้นไปแล้ว หรือกว่าจะออกราคาก็ลงไปแล้ว

            ซึ่งการใช้เจ้าเครื่องมือ CCI นี้จากประสบการณ์ส่วนตัวแล้วนั้นให้ใช้ดู Divergence ควบคู่กับ แนวรับแนวต้าน มาประกอบการเทรด ดีกว่าที่จะใช้เทรดตามหลักทั่วไป

            เราจะเข้าซื้อเมื่อราคาเกิดสัญญาณ Bullish divergence กับ CCI (ราคาทำ Lower Low แต่ CCI ทำ Higher Low) และขณะเดียวกันบริเวณนั้นเป็นบริเวณแนวรับสำคัญ ซึ่งวิธีการนี้จะสร้างประสิทธิภาพการเทรดได้ดีขึ้น มากกว่าการใช้ CCI โดยอย่างเดียวในการเทรด ลองนำไปใช้กันดูนะครับ

ทีมงาน : thaiforexbroker.com

หลีกเลี่ยงการคาดหวังผลตอบแทนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง

หลีกเลี่ยงการคาดหวังผลตอบแทนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง


            เมื่อเข้ามาในตลาดใหม่ๆ หลายคนมักตั้งเป้าหมายในการเทรดให้กับตัวเองว่า แต่ละเดือนเราต้องทำกำไรกี่เปอร์เซ็น หรือแต่ละปีพอร์ตเราต้องโตเท่าไหร่ ซึ่งทุกคนต้องเคยเป็นเช่นนี้ครับ แต่อยากให้เข้าใจว่าการเทรดนั้นก็เหมือนการประกอบอาชีพอื่นๆ เช่น นักกีฬาฟุตบอล , ทนายความ , นักบัญชี , นักแสดง ,นักร้อง และอื่นๆ ซึ่งทุกอาชีพต้องอาศัยประสบการณ์ อาศัยการเรียนรู้ บ่มความสามารถจนถึงจุดๆนึง ถึงจะสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเทรดก็เช่นเดียวกัน มันเป็นไปได้ยากที่มือใหม่ที่พึ่งจะเข้ามาในตลาด แล้วจะสามารถทำกำไรได้ต่อเนื่องตั้งแต่เริ่ม เราต้องมีความรู้ในระดับหนึ่งก่อน และประสบการณ์ที่คอยสอนเรา จนเราสามารถประคองตัวเองสร้างกำไรได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งกว่าจะถึงระดับนั้นก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆ 1 ปีเป็นอย่างต่ำ

            การเริ่มต้นเข้ามาเทรดในช่วงแรกนั้นอย่าพึ่งไปโฟกัสที่ผลตอบแทนในอนาคตที่จะเกิดขึ้น ให้มาโฟกัสที่กระบวนการการเรียนรู้ก่อน เก็บประสบการณ์ให้เยอะที่สุด และสิ่งสำคัญคือต้องทำอย่างไรก็ได้ไม่ได้พอร์ตเราแตกในระหว่างนี้ เพราะว่าอาชีพเทรดเดอร์นั้นมีเครื่องมือทำมาหากินคือ “เงิน” ถ้าไม่หากเงินเราหมด เราก็จะไม่มีเงินไปหาเงิน ดังนั้น ในช่วงแรกให้รักษาเงินต้นไว้ให้ได้ก่อน เทรดอย่างไรก็ได้ให้เงินต้นไม่หาย แม้จะไม่กำไรในปีแรกๆ ไม่เป็นไร ขอแค่เงินต้นไม่หายก็ถือว่าประสบความสำเร็จกว่ามือใหม่ทั่วไปมากๆแล้วครับ เราจะสามารถเทรดไปด้วย เรียนไปด้วยได้ จนวันหนึ่งเราสามารถสร้างกำไรได้อย่างต่อเนื่องได้แล้ว เดี๋ยวกำไรจะมาเองครับ

ทีมงาน : thaiforexbroker.com

หลักของพฤติกรรมราคา

หลักของพฤติกรรมราคา


            การศึกษาพฤติกรรมราคาเป็นสิ่งที่เหล่าเทรดเดอร์สาย Price action มักให้ความสำคัญกับสิ่งนี้อย่างยิ่ง โดยมีหลักการพื้นฐานอยู่ 4 อย่างที่ถือเป็นเสาหลักของศึกษานี้ ถ้าเข้าใจถึงหลักการก็จะทำให้เทรดเดอร์สามารถพัฒนาวิธีการเทรดของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งหลักการเหล่านี้สามารถใช้ได้กับทุก Time frame ทุกตลาด เนื่องจากเป็นเป็นหลักการพื้นฐานพฤติกรรมของราคา

หลักการที่ 1 : ราคามีโอกาสเคลื่อนไหวต่อตามแนวโน้มเดิม มากกว่าที่จะกลับตัว
            เป็นหนึ่งในทฤษฎีของ Dow ที่ว่าราคาจะเคลื่อนไหวไปต่อในแนวโน้มเดิมเรื่อยๆ จนกว่าจะเกิดสัญญาณการกลับตัว ซึ่งประโยคนี้จะชี้ให้เห็นว่าโอกาสในไปต่อนั้นมีมากกว่าการกลับตัว ส่วนการพิจารณาแนวโน้มตามหลักของ Dow นั้นคือ แนวโน้มขาขึ้น : ราคาทำ Higher High และ Higher Low ส่วนแนวโน้มขาลง : ราคาทำ Lower Low และ Lower High
            ช่วงการแกว่งตัวของราคาในแนวโน้มขาขึ้น การแกว่งขึ้นจะมีระยะทางมากกว่า การแกว่งลง และในทางตรงกันข้ามในแนวโน้มขาลง การแกว่งตัวลงมีระยะทางมากกว่า การแกว่งตัวขึ้น … ซึ่งตรงนี้เทรดเดอร์สาย Swing trade ชอบนำหลักการนี้มาใช้ในการเทรด

หลักการที่ 2 : โมเมนตัมมาก่อนราคา
            โมเมนตัมเป็น “Leading” indicator ซึ่งเป็นตัวนำราคา ถ้าโมเมนตัมสร้าง High หรือ Low ใหม่ ราคาก็มักจะทำ High หรือ Low ใหม่ตามมาเช่นกัน
            ในใช้เครื่องมือวัดโมเมนตัมนั้นสามารถทำได้หลายวิธี โดยส่วนมากมักใช้ ROC หรือ Rate of change ไว้เป็นเครื่องมือไว้วัดโมเมนตัม
            เทรดเดอร์ควรพิจารณาในการเทรดช่วงที่โมเมนตัมสร้าง High หรือ Low ใหม่ มันสามารถเป็นตัวบ่งชี้ว่าราคามีโอกาสไปต่อ หรืออาจเกิดภาพ Breakout จากกรอบ Sideway ก็ได้
            และที่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ทราบกันดีคือการดู Divergence หรือการเปลี่ยนแปลงของโมเมนตัมที่ไม่สอดคล้องกับราคา เพื่อหาช่วงการเปลี่ยนแนวโน้ม

หลักการที่ 3 : แนวโน้มมักจะจบในช่วง Climax
            ช่วง Climax คือช่วงที่ราคาการ Panic buy หรือ Panic sell ถ้าให้เห็นภาพคือช่วงที่ราคาวิ่งไปแรงๆแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ซึ่งสามารถสังเกตได้จากการเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลของความผันผวน , ปริมาณการซื้อขาย หรือช่วงการแกว่งตัวของราคา ณ วันนั้น
            ซึ่งมันสามารถบอกได้ว่า ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย รายสุดท้ายได้เกิดการ Match กันเกิดขึ้น จนถึงๆ จุดที่เหมาะสม และหลังจากนั้นราคาจะเริ่มกลับสู่จุดที่มันควรจะเป็นอีกครั้ง
หลักการที่ 4 : การแกว่งตัวของราคามีอยู่ 2 อย่าง คือ Sideway หรือ Trending
            ในช่วงที่ราคาหาจุดเหมาะสมได้แล้ว ราคาก็จะไม่ไปไหน แกว่งตัวในช่วงบริเวณนั้น หรือที่เรียกว่า Sideway แต่ถ้าช่วงไหนที่ระดับเหมาะสมของราคาเปลี่ยนแปลงไป ราคาก็เคลื่อนไหวไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหาจุดเหมาะสมนั้นเจอ หรือที่เรียกว่า Trending

ทีมงาน : thaiforexbroker.com

เส้นค่าเฉลี่ยเท่าไหร่ดี

            เป็นคำถามที่เทรดเดอร์มือใหม่หลายคนชอบถามมากันอย่างมากว่า “ใช้เส้นค่าเฉลี่ยเท่าไหร่ดีที่สุด” ซึ่งต้องตอบตามความจริงเลยคือ “ไม่มีดีที่สุด” หรอกครับ เพราะบางสินค้าใช้ได้ดีกับเส้นค่าเฉลี่ยหนึ่ง และบางสินค้านั้นใช้ได้ดีกับอีกเส้นค่าเฉลี่ยหนึ่ง ซึ่งสิ่งนี้ไม่สามารถมีทางตอบได้เลยว่าเส้นค่าเฉลี่ยค่าใดนั้นดีที่สุด


            ตามหลักการเลือกเส้นค่าเฉลี่ยในการประกอบการวิเคราะห์นั้นจะดูจาก Cycle ของราคาสินค้านั้นก่อนเพื่อมาพิจารณาเลือกใช้เส้นค่าเฉลี่ยว่าจะใช้เท่าใด โดยทั่วไปจะใช้ จำนวนวัน เท่ากับ ครึ่งรอบของ Cycle หรือ Cycle / 2 นั่นเอง


            ในส่วนของการดูรอบ Cycle นั้นเราจะพิจารณาจากจุดต่ำสุด (Trough) ถึงจุดต่ำสุดอีกจุดหนึ่ง (Trough to Trough) ถือเป็นการจบ 1 รอบ Cycle


            ตัวอย่าง Cycle ของราคาทองคำ 1 Cycle จะอยู่ที่ประมาณ 21.86 สัปดาห์ ซึ่งเราสามารถนำเส้นค่าเฉลี่ย 11 วันมาใช้ประกอบการเทรด จะมีประสิทธิภาพในการเทรดมากที่สุด เพราะเราจะสามารถประเมินรอบการแกว่งตัวของราคาได้อย่างแม่นยำมากขึ้น


            ซึ่งถ้าเราใช้เส้นค่าเฉลี่ยที่เหมาะสมกับแต่ละสินค้า และแต่ละ Timeframe ในการเทรด เราก็จะเพิ่มโอกาสการชนะในการเทรดของเราได้เพิ่มมากขึ้น … ต้องบอกว่าวิธีการเลือกเส้นค่าเฉลี่ยนี้เป็นวิธีการที่เราจะหา Cycle ของราคา เพื่อประกอบการเทรดเท่านั้น ยังมีวิธีเลือกเส้นค่าเฉลี่ยวิธีอื่น เพื่อประกอบการเทรดในรูปต่างๆ อาทิเช่น ใช้เส้น 200 วัน ในการดูแนวโน้มใหญ่ หรือใช้เส้น 5 วันในการกำหนดจุดซื้อจุดขาย ซึ่งมันไม่ผิดที่ใช้ค่าเฉลี่ยไม่เหมือนกัน แต่มันจะผิดอย่างมากถ้าเราใช้มันอย่างไม่เข้าใจ

ทีมงาน : thaiforexbroker.com

สิ่งที่เทรดเดอร์ Forex ต้องรู้

           Basic หรือพื้นฐาน เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องมีไว้ก่อนเพื่อที่จะสามารถเป็นตัวไปต่อยอดสู่ความรู้ขั้นสูงต่อไป หลายสิ่งที่เทรดเดอร์ชอบมองข้ามไป แต่สิ่งๆ นั้นเป็นสิ่งที่เทรดเดอร์ควรรู้ ไม่ใช่แค่หาจุดเข้าออกแล้วให้ได้กำไร ซึ่งมันง่ายไป การที่จะดึงเงินออกจากตลาด Forex จำเป็นต้องรู้พื้นฐานให้แน่นเสียก่อน มิฉะนั้นจะตกเป็นเหยื่อแทน


Pips
ปิ๊ป คืออะไร ?? pips เป็นหน่วยของคู่เงินสกุล ที่เท่ากับ 0.0001 หน่วย หรือเรียกว่า 1 pip (เว้นแต่คู่สกุลเงินของ Yen ที่ 1 pip เท่ากับ 0.01 หน่วย) เช่น EUR/USD เทรดกันอยู่ที่ 1.2520 และถ้า EUR/USD ขยับขึ้นเป็น 1.2530 ซึ่งเท่ากับ 10 pips นั่นเอง

แล้วถ้าเราอยากคำนวณว่าการเคลื่อนไหว 1 pip นั้นส่งผลให้มูลพอร์ตเราเปลี่ยนแปลงอย่างไรนั้นหากได้จาก

            มูลค่าของ 1 pip = (0.0001 / อัตราแลกเปลี่ยนของคู่สกุลเงิน ณ ปัจจุบัน ) * ขนาดการเทรด
เช่น EUR/USE เทรดกันอยู่ที่ 1.2520 , เปิด 1 contract (ปกติมีมูลค่า 100,000 ดอลลาร์ (Standard Lot))
            มูลค่าของ 1 pip = (0.0001 / 1.2520) * 100,000 = 7.99 EUR
จากนั้นแปลงเป็น USD จะได้ 7.99 * 1.2520 = 10 ดอลลาร์

LotUnitsPip value
Standard Lot100.000$10
Mini Lot10.000$1
Micro Lot1.000$0.1

Leverage
ในตลาด Forex การใช้ Leverage เป็นเรื่องที่เทรดเดอร์ควรต้องรู้เป็นอย่างยิ่ง ความหมายง่ายๆของ Leverage คือทาง Broker ให้คุณยืนเงินมาเทรด เพื่อที่คุณจะเทรดได้จำนวนขนาดใหญ่ได้กว่าขนาดบัญชีที่คุณมี

โดย Contract size ของตลาด  Forex ใน 1 Lot จะเท่ากับ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ (Standard Lot) ซึ่งหมายความว่าคุณต้องว่าเงิน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อที่จะเปิด 1 Position แต่ถ้าคุณใช้ Leverage ที่ 100 : 1 คุณสามารถเปิด 1 Position โดยใช้เงินเพียง 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ
Required Account Size = Trade Size / Leverage

แต่อย่างไรก็ดี การวางเงินในจำนวนน้อย แต่สามารถเทรดมูลค่าสินค้าที่จำนวนมาก เป็นการสร้างโอกาสการทำไรที่ดี แต่ในอีกแง่หนึ่งก็อาจเป็นตัวเร่งให้พอร์ตเราแตกได้เช่นกัน

Margin
            คล้ายกับ Leverage เป็นเพียงอีกชื่อหนึ่งที่ไว้เรียกเหมือนกัน เช่น ถ้า Broker ต้องการให้คุณวางเงิน 2% margin หมายความว่าทาง Broker ให้ Leverage คุณเท่ากับ 50 : 1
                        Leverage = 1 / Margin
                    50 : 1 = 1 / 2% = 1 / 0.02
            นั่นหมายความว่าในบัญชีของคุณต้องมีเงินอย่างน้อย 2% ของมูลค่าสิ่งที่คุณเทรด ดังนั้น Margin คือ จำนวนเงินที่คุณต้องมีอยู่ในบัญชีเพื่อที่จะเทรด

            ตัวอย่างเช่น Broker ให้คุณวางเงิน 1% margin โดยคุณจะเทรด 1 Lot ซึ่งเท่ากับ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ ฉะนั้นคุณต้องวางเงิน 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อที่จะเทรด

            โดยทาง Broker จะคิดกำไรขาดทุน เทียบจากขนาด Lot ที่คุณเทรด แล้วหักจากเงินที่คุณวาง ปกติ Broker จะมีหลักประกันขั้นต่ำ (Maintenance margin) โดยถ้าบัญชีของคุณต่ำกว่าระดับนี้จะโดน Margin call เพื่อเรียกให้เติมเงินประกัน เพื่อที่จะเทรดต่อได้

LeverageMarginPosition Size (1 Lot)Margin Required
1:1100%$100.000$100.000
10:110%$100.000$10.000
50:12%$100.000$2.000
100:11%$100.000$1.000
200:10.5%$100.000$500


Position Sizing
          คือ ขนาดของเงินลงทุนต่อ 1 ออเดอร์ สามารถคำนวณได้จาก
  • มูลค่าบัญชี (50,000)
  • ความเสี่ยงที่รับได้ (2%)
  • ราคาที่เข้า (40)
  • จุด Stop loss (35)
ขั้นแรก : คำนวณมูลค่าความเสี่ยงที่รับได้
            Risk = [(มูลค่าพอร์ต) * (%Risk)] = 50,000 * 2% = 1,000 บาท
            หมายความว่าคุณสามารถรับความเสี่ยงได้ 1,000 บาท ต่อ 1 การเทรด
ขั้นที่ 2 : คิด % Stop loss
            % Stop loss = 1 – ( Stop price / Current price) = 1 – (35/40)) = 12.50%
ขั้นที่ 3 : หา Position Size
            Position Size = มูลค่าความเสี่ยงที่รับได้ / % Stop loss
                                    = 1,000 / 12.50% = 8,000 บาท
ขั้นที่ 4 : จำนวนหุ้นที่เข้าซื้อ
            Number of Shares = Position size / Current stock price
                                    = 8,000 / 40 = 200 หุ้น
            คุณควรเข้าซื้อหุ้นจำนวน 200 หุ้น ที่ระดับราคา 40 บาท ในความเสี่ยงที่รับได้ (2%)

Expectancy (ผลตอบแทนที่คาดหวัง)
            เป็นการหาผลตอบแทนที่คาดหวังในแต่ละ 1 การเทรดของเราว่าควรจะได้ที่เท่าไร่ในระยะยาว สามารถคำนวณได้ดังนี้
  • Win rate และ Loss rate – 60% และ 40%
  • มูลค่าบัญชี – 50,000 บาท
  • ความเสี่ยงต่อ 1 การเทรด – 1% หรือ 500
  • Risk reward ratio – (2 : 1)
            Expectancy = Win rate*(มูลค่าบัญชี * ความเสี่ยงต่อ 1 การเทรด * Risk : Reward) – Loss Rate*(มูลค่าบัญชี * ความเสี่ยงต่อ 1 การเทรด)
          Expectancy = 60% * (50.000 * 1% *2) – 40% *(50.000 * 1%) = 400

            โดยเราสามารถแบ่ง ผลตอบแทนที่คาดหวัง เป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ ชนะ กับ ส่วนที่ แพ้ แยกการคำนวณได้ดังนี้

            ส่วนชนะ = Winrate * (มูลค่าบัญชี * ความเสี่ยงต่อ 1 การเทรด * Risk:Reward)
                   60% * ($50.000 * 1% * 2) = 600
            ส่วนที่แพ้ = Loss Rate* (มูลค่าบัญชี * ความเสี่ยงต่อ 1 การเทรด)
                   40% * ($50.000 * 1%) = 200

ความน่าจะเป็นที่เกิดการชนะหรือแพ้ติดต่อกัน
            โอกาสที่จะเกิด ชนะ ติดต่อกัน หรือ แพ้ ติดต่อกัน เป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ปกทั่วไปของเทรดเดอร์ทุกคน เทรดเดอร์มืออาชีพรู้กันดีว่า ต้องประสบกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ช้าก็เร็ว เราสามารถคำนวณโอกาสของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้ดังนี้
            สมมติ ให้ Win rate = 60% และ Loss
                   โอกาสที่จะชนะ 2 ครั้งติด = 0.6 * 0.6 = 36%
                   โอกาสที่จะชนะ 3 ครั้งติด = 0.6 * 0.6 * 0.6 = 21.6%
                   โอกาสที่จะชนะ 4 ครั้งติด = 0.6 * 0.6 * 0.6 * 0.6 = 13%


Recovery Rate
            เมื่อเราเกิดการขาดทุนเกิดขึ้น เมื่อเทียบ % การขาดทุน กับ % ที่จะต้องให้พอร์ตกลับมาเท่าทุนนั้นจะไม่เท่ากัน เช่น สมมติพอร์ต 10,000 เทรดขาดทุน 10% เท่ากับเหลือ 9,000 บาท แล้วถ้าเราจะต้องเท่าให้พอร์ตกลับมาเท่าเดิมที่ 10,000 บาท ต้องกำไรถึง 11.11%


จุดที่จะกำไร
            เมื่อเราทราบถึงจุด Stop loss และ จุดทำกำไร เราสามารถนำไปหา Risk reward ratio เพื่อที่จะไปเทียบกับ Win rate แล้วดูว่า Risk reward ratio และ Win rate เท่าไร่ ถึงจะทำให้ผลตอบแทนเป็น “บวก”
สมมติให้ Win rate = 60% , Stop loss ที่ 40 และ จุดทำกำไรที่ 65
  • Risk : Reward Ratio = Take Profit Distance / Stop Loss Distance
65 / 40 = 1.625
  • Required Win rate = 1/ (1+ Risk : Reward Ratio)
1 / (1+ 1.625) = 0.38 = 38%
            หมายความว่าที่ Risk reward ratio 1 : 1.625 คุณต้องมี Win rate อย่างต่ำที่ 38% ถ้าระบบการเทรดของคุณมี Win rate มากกว่า 38% หมายความคุณจะสามารถทำกำไรได้ในการเทรด


Correlation
            สินค้าบางตัวมีความสัมพันธ์การเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน แต่บางตัวที่มีความสัมพันธ์ในตรงกันข้าม และยังมีอีกหลายตัวที่ไม่มีความสัมพันธ์ในการเคลื่อนไหวซึ่งกันและกันเลย โดย Correlation เป็นตัวเลขที่แสดงถึงความสัมพันธ์ของสินค้า 2 ตัว ที่ให้ค่าระหว่าง -1 ถึง +1 ถ้า -1 แปลว่า 2 ตัวนั้นเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้าม แต่ถ้า +1 แปลว่า 2 ตัวนั้นเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน แต่ถ้าเท่ากับ 0 แปลว่าไม่มีความสัมพันธ์กัน
            Correlation = -0.5 หมายความว่า A ขึ้น 1% , B ลง 0.5%
          Correlation = 0 หมายความว่า A กับ B ไม่มีความสัมพันธ์กัน
          Correlation = +0.5 หมายความว่า A ขึ้น 1% , B ขึ้นตาม 0.5%

            การหาค่าความสัมพันธ์นั้นเพื่อที่จะนำมาบริหารความเสี่ยงของพอร์ตเราได้ คือเทรดเดอร์ไม่ควรซื้อสินค้าที่มีความสัมพันธ์กันมาก เนื่องจากจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้กับการเทรด เพราะเนื่องจากราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน

อัตราการเติบโตของเงินทุน
            อัตราผลตอบแทนทบต้นเป็นอะไรที่น่ามหัศจรรย์ค่อนข้างมาก แต่ต้องอาศัยระยะเวลาที่ยาวพอ และความต่อเนื่องที่ต้องคงที่ เมื่อเทรดเดอร์มีเงินทุนมากขึ้น ก็จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่มากขึ้นตามมูลค่าเงินลงทุน


ทีมงาน : thaiforexbroker.com

สิ่งที่ทำให้เทรดเดอร์แพ้ไม่รู้ตัว

         เทรดเดอร์ส่วนมากที่เผชิญกับความล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเหล่า และไม่คอยสังเกตตัวเองว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่ทำให้เทรดเดอร์ไม่ประสบความสำเร็จนั้นคือ “Cognitive dissonance” หรือที่เรียกกันประมาณว่า ความขัดแย้งในการรับรู้ คือภาวะที่ไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่กำลังเชื่อ 2 สิ่ง หรือหลายๆ สิ่งนั้น มีความขัดแย้งกันอยู่


            เหมือนเรากำลังชอบผู้หญิง 2 คนอยู่ คนนึงสวยงาม , ดูดี อีกคนหนึ่ง น่ารัก , ใสๆ ดูจริงใจ โดยทั้ง 2 คนนี้อยู่ด้วยแล้วสบายใจ มีความสุข ทำให้ความคิดนี้ฝังเข้าไปในหัวของเรา แต่ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าเราไม่เลือกเพียง 1 คน สุดท้ายจะเสียทั้ง 2 ไปเลย

            การเทรดก็เหมือนกัน คนทั่วไปมีความโลภในการเทรด ต้องการได้ทั้งหมด ต้องการได้ทันที ต้องการใช้ชีวิตอย่างใน Wolf of wall street มีบ้านหรูๆ มีรถแพงๆ มีทะเล มีสาวๆ นี่เหละเป็นสิ่งที่เทรดเดอร์ส่วนมากเข้ามาเล่นในเกมส์นี้ ลองมาดูโลกความเป็นจริงไหมครับว่า เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จอย่าง Ed seykota, Paul Tudor Jones, Jim Rogers, Richard Dennis และ Peter Brandy เทรดเดอร์เหล่านี้มีอะไรอย่างหนึ่งที่เหมือนกันรู้ไหม? ไม่ใช่อยากมีบ้านหรูๆ ไม่ได้อยากดัง ใช้ชีวิตจริงอย่างเรียบง่าย แต่มีหนึ่งสิ่งที่เหมือนกันเลยคือ “อยากจะเอาชนะตลาด” ตลอดเวลา

            การใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายของบุคคลเหล่านี้เป็นตัวช่วยอย่างยิ่งในการเทรดของเขา เพราะว่าการเทรดไม่ได้ตื่นเต้น ไม่ได้น่าดึงดูด แต่การเทรดเป็นอาชีพที่น่าเบื่อ นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์คนเดียวค่อนวัน ให้ตลาดคอยเป็นครูสอนและเป็นหัวหน้าเรา

            ประเด็นคือจะทำอย่างไรให้ในด้านหนึ่งเราใช้ชีวิตอย่างบ้าครั่ง แต่ในอีกด้านหนึ่งให้เรียบง่ายในขณะเทรด คำตอบคือ คนส่วนมากทำไม่ได้ ความขัดแย้งในมุมมองและความเชื่อทำให้เราไม่สามารถชนะตลาดได้ สิ่งที่ถูกต้องคือ เราควรอ่อนน้อยถ่อมตนต่อตลาดเท่าที่เราทำได้ อย่าคิดว่าเก่งกว่าตลาด ซึ่งนี่แหละจะเป็นตัวที่ทำให้เราอยู่รอดและประสบความสำเร็จในเกมส์นี้

            คุณสามารถใช้ชีวิตอย่างบ้าครั่งได้ แต่ในขณะที่เทรดคุณควรตั้งสติของคุณเมื่ออยู่หน้าจอขณะเทรด เอา Ego ของเราออกไปให้ไม่เหลือจนกว่าจะจบสัปดาห์ในการเทรด พอวันที่ตลาดปิดควรสามารถกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติอย่างที่เราเป็น คุณต้องทำตัวให้เป็นพวกเด็กแว่นตั้งใจเรียน , อ่อนน้อมถ่อมตน และเป็นคนที่ดูไม่มีอะไรที่สุด ในขณะที่เทรด นี่แหละจะเป็นสิ่งที่ทำให้คุณสามารถสร้างกำไรจากตลาดได้ เมื่อใดก็ตามที่คิดว่าคุณเก่งกว่าตลาด เมื่อนั้นแหละที่คุณจะสูญเสียเงินให้กับตลาด
             
ทีมงาน : thaiforexbroker.com

สร้างกลยุทธ์การเทรดที่เข้ากับนิสัยเรา

สร้างกลยุทธ์การเทรดที่เข้ากับนิสัยเรา


            วิธีการเทรดเป็นสิ่งที่เฉพาะ เป็นสิ่งที่แต่ละคนชอบไม่เหมือนกัน เหมือนกับสีที่มีหลายสี บางคนชอบสีแดง บางคนชอบสีดำ บางคนชอบสีขาว วิธีการเทรดก็มีหลากหลายเช่นเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องมีวิธีการเทรดที่เหมือนกันหมดทุกคน บางทีวิธีการเดียวกันนั้นใช้ได้ดีกับคนนึง แต่ใช้ไม่ได้กับอีกคนนคง

            คุณต้องมีระบบการเทรดเป็นของตัวเอง สร้างสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด รู้สึกสบาย รู้สึกว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นมันถูก สามารถสร้างกำไรให้กับคุณได้ ซึ่งสิ่งนี้มีเพียงคุณคนเดียวที่รู้ดีที่สุด ว่าคุณต้องการการเทรดแบบไหน

            ซึ่งการเลือกระบบการเทรดนั้นจำเป็นต้องเหมาะกับคุณลักษณะนิสัยของตัวเทรดเดอร์เองด้วย เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในประจำวันของคุณ

#1 พิจารณาเวลาที่คุณสามารถให้กับการเทรด บางคนอยากเป็น Daytrader แต่ต้องทำงานประจำอยู่ ต้องเรียนหนังสือ ก็ไม่สามารถเฝ้าหน้าจอตลอดทั้งวันได้

#2 พิจารณาระดับอารมณ์ของคุณ ว่าคุณเป็นคนที่ “รอ” เป็นไหม คุณสามารถรอการเทรดได้เป็นวัน หรือเป็นสัปดาห์ได้หรือเปล่า หรือคุณสามารถถือ Position เป็นวัน หรือเป็นสัปดาห์ได้แค่ไหน

#3 คุณเป็นคนคิดเร็ว หรือช้า … หรือเป็นคนที่ใช้อุปกรณ์อย่างคล่องแคล่วหรือเปล่า เพราะพวก Daytrading ต้องเป็นคนคิดเร็วตัดสินใจเร็ว และใช้อุปกรณ์อย่างคล่องเคล่ว ส่วน Swing trading จะมีเวลาให้คุณได้ทบทวนได้ตัดสินใจ และไม่ต้องอาศัยความคล่อวแคล่วในการใช้อุปกรณ์มากนัก

#4 คุณเป็นคนที่ชอบแก้ปัญหากับสิ่งที่ซับซ้อนหรือเปล่า หรือคุณอยากได้อะไรที่มันง่ายๆ … ซึ่งมันจะสื่อถึงการสร้างระบบการเทรดของคุณว่ามีเงื่อนไขซับซ้อน หรือเรียบง่าย

#5 คุณชอบศิลปะ หรือคุณชอบคณิตศาสตร์ … คล้ายกับการดูรูปแบบราคา หรือ ดูระดับราคาในการเทรด

#6 คุณเป็นพวก กลัวความเสี่ยง หรือ ชอบความเสี่ยง

#7 ถามตัวเองว่าที่ใช้เทรดมัน Make sense อะไรกับเราบ้าง และตอบให้ได้ว่าทำไมถึงใช้มัน ใช้แล้วอึดอัดหรือเปล่า

#8 คุณเป็นพวก สวนเทรน หรือ ตามเทรน

#9 อุปกรณ์การเทรดของคุณ เหมาะกับกลยุทธ์ที่จะใช้หรือเปล่า เช่น ขนาดจอ , ความเร็วอินเตอร์เน็ต เป็นต้น

            นี่เป็นเพียงสิ่งเบื้องต้นที่ต้องคำนึงในการเลือกระบบการเทรดของคุณ ยังมีอีกหลายสิ่งมากมายที่ต้องคำนึงถึง บางทีบางกลยุทธ์อาจ non-sense สำหรับคนหนึ่ง แต่อาจ make sense กับอีกคนหนึ่ง โฟกัสที่ตัวเราเอง อย่าไปตามคนอื่น หรือ copy คนอื่นมา เพราะสุดท้ายแล้วการรู้ตัวเองว่าชอบอะไร มันจะอยู่กับเรานานไม่สุด

ทีมงาน : thaiforexbroker.com

สถิติเกี่ยวกับแนวโน้ม ขาขึ้น ขาลง

สถิติเกี่ยวกับแนวโน้ม ขาขึ้น ขาลง

            บทความนี้จะชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่าง แนวโน้มขาขึ้น และ แนวโน้มขาลง ให้เห็นถึงข้อแตกต่างบางอย่างที่เกิดขึ้น โดยข้อมูลนี้เทรดเดอร์สามารถนำไปประยุกต์กับการเทรดได้อย่างดีเลยทีเดียว

แบ่งแนวโน้ม
            ขั้นแรกในการแยกระหว่างแนวโน้มขาขึ้นกับขาลงนั้น ได้ใช้เส้นค่าเฉลี่ยในการแบ่งแนวโน้มดังกล่าว โดยจะใช้เส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน และ 100 วัน เมื่อราคาอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 50 / 100 วัน แสดงถึงแนวโน้มขาขึ้น ส่วนถ้าราคาอยู่ต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 50 / 100 วัน แสดงถึงแนวโน้มขาลง

            ในการทดสอบนั้นได้ทำการวิเคราะห์ในตลาด S&P500 ว่าในแต่ละช่วงของแนวโน้มนั้น ผลตอบแทนเป็นอย่างไร ในที่นี้เราใช้เส้นค่าเฉลี่ย 100 วัน โดยผลการทดสอบพบว่า ในช่วงแนวโน้มขาขึ้นได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 0.05% และในช่วงแนวโน้มขาลงผลตอบแทนเฉลี่ยที่ – 0.077% ซึ่งสามารถบ่งชี้ได้ว่า ระยะทางการลงมีมากกว่าการขึ้น

            ข้อมูลนี้บ่งชี้อะไรในการเทรด ? คือการแสดงให้เห็นว่า ระยะเวลาการถือ ในแนวโน้มขาลง จะสั้นกว่า ขาขึ้น และ risk reward ratio ในขาลง ควรมากกว่า ในขาขึ้น

ความผันผวน
            ต่อมาเรามาดูความผันผวนของแนวโน้มในแต่ละช่วง ว่าเป็นอย่างไร

            ซึ่งจะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะใช้การคำนวณเส้นค่าเฉลี่ย 50 หรือ 100 วัน ความผันผวนในแนวโน้มขาลงมามากกว่าความผันผวนแนวโน้มขาขึ้น อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งบ่งชี้ให้เห็นว่า ในช่วงแนวโน้มขาลง แท่งเทียนจะมีขนาดใหญ่กว่า , ช่วงแกว่งกว้างกว่า , ความผันผวนมากกว่า และ ช่วงสวิงมีมากกว่า
          
การประยุกต์ในการเทรด       
            จากสถิติเห็นได้ว่า พฤติกรรมการเคลื่อนไหวของแนวโน้มขาขึ้นกับขาลง แตกต่างกัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่ควรใช้วิธีการเทรดที่เหมือนกัน ควบปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การเทรดให้เหมาะสมกับภาวะตลาดในช่วงนั้น เช่นในช่วงขาขึ้น ก็ควรวาง Stop loss หรือจุด Take profit ที่กว้างกว่าในช่วงขาขึ้น เพราะด้วยความผันผวนที่มากกว่า เพื่อลองรับช่วงสวิงของราคาที่มากกว่า
          
ทีมงาน : thaiforexbroker.com

ศัตรูที่อันตรายที่สุดคือตัวคุณเอง

ศัตรูที่อันตรายที่สุดคือตัวคุณเอง

            เมื่อคุณอยู่หน้าจอเทรด ศัตรูที่แท้จริงแล้วไม่ใช่เทรดเดอร์คนอื่น ไม่ใช่ตลาด แต่เป็นตัวของคุณเอง เชื่อไหมครับว่าถ้าให้ 100 คนมาเทรด และใช้กลยุทธ์เดียวกันทั้งหมด จะมีแค่ 2 คนที่สามารถทำกำไรได้ และส่วนที่เหลืออีก 98 เจ๊ง นี่คือความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในโลกแห่งการเทรด เลิกตามหา Holy grail ในการเทรด ตัวคุณเองนั่นแหละคือ Holy grail

            สิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการเทรดคือ ควบคุณอารมณ์และจิตใจในการเทรด เพราะเมื่อเข้ามาในเกมส์ของการเทรด คุณต้องเผชิญกับแรงกดดันอย่างมาก เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณเปิดออเดอร์ในการเทรด สภาพจิตใจคุณจะไปผูกติดกับออเดอร์นั้นๆ

            2 สิ่งสำคัญที่ทำให้เทรดเดอร์ไม่ประสบความสำเร็จ
  1. ความคาดหวังไม่สมจริง
  2. ไม่มี Work-life-balance ที่ดี
            นี่เป็น 2 สิ่งของจิตวิทยาในการเทรดที่นำไปสู่การเกิดอารมณ์การเทรดต่างๆ ทั้ง โกรธ , สับสน , กลัว , โลภ ทั้งหมดนี้มาจากการคาดหวังที่ไม่สมจริง เป็น Mindset ที่แย่ โดยสิ่งเหล่านี้ได้มาจากหลักการตลาดที่ผิดๆ ที่คอยหลอกลวงคนทั่วไปว่าคุณสามารถสร้างเงินจาก 100,000 บาท ไปสู่ 10 ล้าน ภายในไม่กี่ปี ซึ่งจริงๆ แล้วมันทำไม่ได้จริง แต่คนเหล่านั้นชอบบอกว่าทำได้ คนที่ทำได้คือเป็นเรื่องความผิดปกติที่โอกาสเกิดขึ้นในชีวิตจริงนั้นยาก แล้วคุณคิดว่าคุณจะเป็นสิ่งผิดปกตินั้นจริงๆหรอครับ ? คุณพิเศษขนาดนั้นเลยหรอ สิ่งแรกที่ควรทำคือคุณต้องเทรดให้ได้กำไรก่อนเป็นอย่างแรก อย่าเพิ่งดูเรื่องตัวเงิน หลังจากนั้นค่อยมาดูเรื่องจากสร้างพอร์ตว่าจะให้โตเท่าไหร่ เช่นว่าคุณแค่ทำกำไรให้ได้ 10% ต่อปีอย่างต่อเนื่อง คุณก็อยู่ในระดับ World class เลยทีเดียว เป้าหมายแรกขอแค่ปกป้องเงินลงทุนของคุณให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก อันนี้เป็นสิ่งที่เทรดเดอร์มืออาชีพทุกคนคอยย้ำอยู่ตลอด

วิธีการแก้ไข
  • คาดหวังสิ่งที่เป็นไปได้ ให้เป้าหมายกับสิ่งที่เป็นไปได้ : ดูความสัมพันธ์เงินทุน กับผลตอบแทนที่คาดหวังควรจะสอดคล้องกัน และมีโอกาสเป็นไปได้
  • ไม่ไปผูกติดกับผลลัพธ์ : เราไม่สามารถควบคุมผลลัพธ์ได้ แต่สามารถควบคุมวิธีการเทรดได้
  • อดทนให้เป็น : แม้จะมีระบบการเทรดที่ดีแล้ว ก็ต้องรอให้เป็น รอทั้งจังหวะการเข้าและออก รอทั้งเรื่องการปั้นพอร์ตของเรา
  • ควบคุมความกลัว : เมื่อต้องเผชิญกับช่วงที่เทรดแพ้ติดต่อกันต้องเข้าใจว่ามันเป็นธรรมชาติของตลาด

            การตระหนักรับรู้ควบคุมอารมณ์ เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ แต่ทำจริงนั้นค่อนข้างยาก ต้องอาศัยจิตใจที่เข้มแข็ง พยายามรับรู้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกอะไร และตัดความรู้สึกนั้นออกไปจากการเทรด เพื่อไม่ให้เราตกเป็นเหยื่อของตลาด

ทีมงาน : thaiforexbroker.com

วิธีเร่งฝีมือการเทรดและกำไร

วิธีเร่งฝีมือการเทรดและกำไร


            “Trading journal” หรือ บันทึกการเทรดหนึ่งสิ่งที่ทรงพลังในการเร่งพัฒนาความสามารถในการเทรดของเราให้อย่างก้าวกระโดด และข้ามไปสู่ในจุดที่สามารถทำกำไรได้อย่างมั่นคง เรามีวิธีการบันทึกการเทรดให้อย่างได้ผลดังนี้

  1. จดทุกการเทรด : ไม่ว่าเราจะเทรดอะไรก็ตาม ให้จดการเทรดที่เกิดขึ้นทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นวันที่ , ออเดอร์ที่เปิด , ขนาด , แพ้ / ชนะ และอื่นๆ

  1. จดเหตุผลว่าทำไมถึงเทรด : ทำไมเราถึงเปิด Long ทำไมเราถึงเปิด Short ทำไมต้องเป็นบริเวณนี้ ใช้กลยุทธ์ใดในการเทรด และอื่นๆ สิ่งพวกนี้เราต้องบันทึกลงไป ให้กลับมาทบทวนได้ว่า ถ้าเกิดการผิดพลาดเราจะได้รู้ว่าเราควรแก้ไขในส่วนใด


  1. จดความรู้ในการเทรดลงไป : เราจะรู้ว่าอารมณ์ ณ ขณะเทรดตอนนั้นเราเป็นอย่างไร มั่นใจ , กลัว , ไม่แน่ใจ , เชยๆ หรือ อื่นๆ สิ่งพวกนี้จะเป็นตัวค่อยๆปรับเราเองว่า ถ้าไม่แน่ใจ ก็ไม่ควรเทรด หรือตอนเรามั่นใจ นั้นเรามั่นใจเกินไปหรือเปล่า เป็นต้น

  1. พัฒนาการเทรด : พยายามแก้ไขข้อผิดพลาดการเทรดที่เกิดขึ้น และไม่ทำมันอีก นี่เป็นสิ่งสำคัญของการทำบันทึกการเทรด


  1. ทำให้มันเป็นชีวิตประจำวัน : การทำบันทึกการเทรดต้องอาศัยวินัยการทำอย่างต่อเนื่อง ทุกวัน ห้ามขาด แรกๆอาจจะยากหน่อย แต่พอเราได้ทำมันทุกวันแล้วมันจะง่ายมาก ให้มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราไปเลย เทรดเดอร์ก็คืออาชีพๆหนึ่ง ถ้าอยากประสบความสำเร็จในอาชีพนี้ ก็ต้องมีวินัยในการฝึกฝน เพื่อสร้างความเป็นมืออาชีพกับเส้นทางนี้ อย่าล้อเล่นกับการเทรด จะทำให้ก็ทำมันอย่างจริงจัง ไม่มีอะไรที่ได้อย่างง่ายดาย ต้องอาศัยการกระทำอย่างต่อเนื่อง จนถึงจุดๆหนึ่งที่เหมาะสม จากนั้นผลตอบแทนที่เราควรได้รับก็จะมาเอง

ทีมงาน : thaiforexbroker.com

วันพฤหัสบดีที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

วิธีเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการความเสี่ยง

            การจัดการความเสี่ยงมักจะถูกเป็นสิ่งสุดท้ายที่เทรดเดอร์มักนึกถึง เทรดเดอร์มัวแต่นั่งหาวิธีการเทรดที่ดี หรือเครื่องมือที่มีความถูกต้องสูงๆ แต่อย่างไรก็หากไม่มีการจัดการความเสี่ยงที่ดีนั้น เทรดเดอร์แทบจะไม่สามารถทำกำไรในระยะยาวได้เลย โดยการจัดการความเสี่ยงนั้นถือว่าเป็นหัวใจอีกหนึ่งห้องของเทรดเดอร์ที่ต้องให้ความสำคัญกับมันเลยก็ว่าได้


            ต่อไปนี้จะเป็นวิธีการให้เทรดเดอร์เป็นแนวทางในการพัฒนาการจัดการความเสี่ยงและป้องกันปัญหาต่างๆที่พบบ่อยที่นำไปสู่การขาดทุน

# กำหนดจุดตัดขาดทุนและเป้าหมายทำกำไรก่อนเทรด : ก่อนที่จะเปิดออเดอร์ทุกครั้ง ควรที่จะมีจุดตัดขาดทุนและเป้าหมายทำกำไรไว้ก่อนแล้ว โดยเปรียบเทียบ risk/reward ratio ให้ดีก่อนเทรด ว่าเป็นไปตามที่เราต้องการหรือไม่ หรือไม่ใช่ก็ให้ข้ามการเทรดครั้งนี้ไป **ไม่ควรไปปรับเป้าหมายทำกำไรหรือบีบจุดตัดขาดทุนเข้ามาเพื่อให้เป็นไปตามที่เราต้องการ risk/reward ratio **

# หลีกเลี่ยงการใช้จุดตัดขาดทุนที่เป็นระดับเดียวกับจุดเข้า : หลายคนคิดว่าการใช้จุดตัดขาดทุนที่ระดับเดียวกับจุดเข้านั่นเป็นสิ่งที่ดี ไม่มีความเสี่ยง ซึ่งลองมาเทรดจริงๆจะรู้ว่า หากใช้วิธีนี้มักจะโดนลากกิน Stoploss ค่อนข้างบ่อย เนื่องเทรดเดอร์ที่ใช้วิธีการเทรดบนพื้นฐานของเทคนิคต่างๆเช่น ,ใช้แนวรับ/แนวต้าน รูปแบบราคา , จุด High จุด Low , เส้นค่าเฉลี่ย เป็นต้น สิ่งเหล่านี้มักให้สัญญาณการซื้อขายที่คล้ายๆกัน จุดเข้าออกคล้ายๆกัน การวาง Stoploss ก็จะคล้ายกันด้วยเช่นกัน ทำให้พวกรายใหญ่รู้ว่าเหล่าเทรดเดอร์ส่วนมากมักจะวาง Stoploss บริเวณดังกล่าว จึงลากราคาให้ไปแตะระดับดังกล่าวเพื่อให้พวกเทรดเดอร์มือใหม่ คลายของออกมา แล้วค่อยให้ราคาวิ่งกลับไปในทิศทางเดิม


# ไม่ควรตั้งจุด Stoploss คงที่ : เทรดเดอร์ส่วนมากมักใช้จุด Stoploss และจุด take profit ที่คงที่ ซึ่งวิธีการเหล่านี้ไม่ได้คำนึงถึงภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ความผันผวนแต่ละช่วงเวลานั้นไม่เท่ากัน หลังการเปิดออเดอร์ไปแล้ว สภาพตลาดอาจเปลี่ยนแปลงไป เราควรปรับจุด Stoploss และจุด take profit ยืดหยุ่นต่อสภาพตลาดที่เป็นอยู่ใน ณ ขณะนั้น

# ควรเทียบ Winrate กับ risk/reward : เทรดเดอร์ส่วนมากคิดว่าการหา Winrate เป็นสิ่งไม่จำเป็น ไร้ประโยชน์ คิดว่าไม่ได้ช่วยอะไร ซึ่งก็จริง หากเราดูค่า Winrate เชยๆ เพียงตัวเดียวก็ไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์อะไรได้ แต่หากเมื่อมาคำนวณกับ Risk/reward ratio จะมีประโยชน์ต่อการจัดการความเสี่ยงอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น ถ้าระบบการเทรดของคุณ Winrate อยู่ที่ 40% คุณควรต้องมี Risk/reward ratio มากกว่า 1.40 เพื่อที่จะสามารถทำกำไรในระยะยาวได้


# ไม่ควรนำผลลัพธ์การเทรดมาเป็นเป้าหมาย : เทรดเดอร์ที่ดีไม่ควรดูที่ผลลัพธ์ในการเทรด แต่ควรดูว่าเราทำตามแผนการเทรดหรือไม่แค่นั้นพอ การตั้งเป้าหมายให้ตัวเองอาจจะเป็นผลร้ายต่อตัวเทรดเดอร์เอง เพราะจะสร้างความกดดันต่างๆเกิดขึ้น ทำให้บางทีอาจต้องฝืนเทรดจนทำให้การเทรดนั้นออกมาไม่ดี

# กำหนด Position sizing อย่างมีประสิทธิภาพ : เมื่อให้กำหนด Position sizing เทรดเดอร์ส่วนมากมักใช้เลขกลมๆ เช่น 1% , 2% หรือ 3% เป็นต้น โดยไม่ได้พิจารณาอะไรเลย การกำหนด Position sizing ที่ดีควรมาจากโอกาสการชนะในการเทรดครั้งนั้น ๆ ซึ่งถ้าโอกาสชนะมีน้อย ก็ควรลงเงินต่ำๆ แต่ถ้าโอกาสชนะมีมาก ก็ควรลงเงินเยอะๆ คล้ายกับการเล่น Poker เมื่อเรามีไพ่ในมือที่โอกาสชนะมีมาก เราก็ควร bet ในจำนวนเงินที่มาก เพื่อให้ได้ผลตอบแทนคุ้มกับโอกาสการชนะของเรา


# พิจารณาถึง Spread : สมมติว่าค่า Spread ของโบรกคุณอยู่ที่ 2 pips ในขณะที่คุณสามารถทำกำไรได้ที่ 20 pips จะเห็นว่าค่า Spread คิดเป็นถึง 10% (2/20*100) ของกำไร ซึ่งเทรดเดอร์หลายคนลืมพิจารณาสิ่งนี้ไป ลองดูสิว่าถ้าเทรดสัก 100 รอบ เราเสียเปรียบไปแล้วเท่าไร่ ต้นทุนการเทรดเป็นตัวแปรแฝงที่สำคัญในเปลี่ยนให้ระบบที่กำไรเป็นขาดทุนเลยทีเดียว

# พิจารณาถึงความสัมพันธ์ระหว่างผลิตภัณฑ์ที่เทรด : ในตลาด Forex พวกคู่สกุลเงินหลักๆ มักจะมีความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกัน ทำให้การเทรด 2 ผลิตภัณฑ์ อาจไม่ได้เป็นการกระจายความเสี่ยง แต่จะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงแทน ยกตัวอย่างเช่น สกุลเงิน EUR/USD กับ GBP/USD มีความสัมพันธ์กัน 0.9 ซึ่งถือว่าสูงมาก แปลว่าถ้าหาก EUR/USD ขึ้น 1 % แล้ว GBP/USD จะขึ้นตาม 0.9 % ซึ่งถ้าหากเรารับความเสี่ยงได้ที่ 1.5% แล้วการเปิด Position ของ 2 ตัวนี้พร้อมกัน ความเสี่ยงต่อ 1 Position นี้จะเพิ่มขึ้นเท่ากับ 2.7% ((1.5%+1.5%)*0.9% = 2.7%)

การจัดการความเสี่ยงเป็นสิ่งที่ดูน่าเบื่อสำหรับเทรดเดอร์หลายคน แต่สำหรับเทรดเดอร์มืออาชีพแล้วจะให้ความสำคัญกับสิ่งนี้เป็นอย่างมาก เพราะการปกป้องเงินทุนเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในโลกแห่งการเทรด

ทีมงาน : thaiforexbroker.com

วิธีต่างๆในการเทรด Forex

วิธีต่างๆในการเทรด Forex


            มันมีหลายวิธีมากในการเทรด Forex หรือตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราแห่งนี้ แม้ว่าวิธีการเทรดจะแตกต่างกัน แต่ทุกวิธีการนั้นมีเป้าหมายเดียวกันคือ แสวงหากำไร ในบทความนี้จะกล่าวถึงวิธีการเทรดหลักๆที่นิยมกันมากในตลาด Forex

  1. Day trading
            เป็นลักษณะการเทรดรูปแบบซื้อและขายจบในวันนั้น โดยอาศัยเครื่องมือทาง Technical หรือการใช้ข่าวในการประกอบการเทรด ซึ่งการเทรดรูปแบบนี้ต้องอาศัยทักษะขั้นสูงในการเทรด ต้องมีไหวพริบ และความรวดเร็วในการตัดสินใจ ถ้าเทรดเดอร์ท่านไหนที่พึ่งจะเข้ามาเทรดในตลาด Forex ไม่นาน แนะนำว่าอย่าพึ่งรีบเข้ามาเทรดสไตล์นี้ เพราะเนื่องจากการเทรดลักษณะนี้ต้องอาศัยประสบการณ์และความชำนาญอย่างมาก

  1. Scalping
            วิธีการเทรดที่เน้นกินคำเล็กๆ แต่กินบ่อยๆ จะคล้ายๆกับ Day-trading แต่จะแตกต่างที่วิธีการเทรด การ Day trading สามารถถือรันเทรนในวันได้ แต่ Scalping นั้นมักจะไม่รันเทรน จะเน้นเก็บกำไรเล็กๆน้อยๆ

  1. Big picture trading
            เป็นลักษณะเล่นรอบ กำหนดขนาด Time frame ที่ใหญ่ขึ้นมา โดยมักดูภาพรายวัน และรายสัปดาห์ในการเทรด ซึ่งจะเทรดไม่บ่อย แต่เน้นกินคำใหญ่ๆ กินเป็นรอบๆ ซึ่งการเทรดสไตล์สามารถลงรายละเอียดได้รายวิธีทั้ง Mean reversion , Trend follow และ อื่นๆ

  1. Automated trading
            การใช้คอมพิวเตอร์ในการเทรด โดยเทรดเดอร์ไม่จำเป็นต้องส่งคำสั่งเอง แต่จะผ่านการเขียนโปรแกรมให้สั่งคำสั่งตามที่เราเขียนไว้ โดยมักได้ยินกันในชื่อ “EA” หรือ Expert advisor ใน MT4 และ MT5
ซึ่งปัจจุบันการการเทรดรูปแบบได้รับความนิยมอย่างมาก

            อย่างไรก็ดี ตามที่กล่าวไว้ในช่วงต้นว่า แม้วิธีการเทรดนั้นจะแตกต่างกัน แต่สุดท้ายแล้วเป้าหมายทุกวิธีการนั้นเหมือนกันคือ แสวงหากำไร โดยการที่จะทำกำไรจากตลาดแห่งนี้นั้นบอกเลยไม่ง่าย เทรดเดอร์ต้องมีการวางแผนการเทรด ต้องทำการบ้าน ต้องเลือกเครื่องมือที่เหมาะสม ต้องกำหนดความเสี่ยงให้ดี ดังนั้นเป็นหน้าที่ของเทรดเดอร์ทุกท่านที่จะต้องฝึกฝนสไตล์การเทรดของตัวเองให้ดี ทำให้มันแข็งแกร่ง เพื่อที่จะสร้างกำไรจากตลาดแห่งนี้



ทีมงาน : thaiforexbroker.com

วิธีการใช้ Risk reward ratio อย่างมืออาชีพ

        เทรดเดอร์ส่วนมากมักมองว่า Risk reward ratio นั้นเป็นข้อมูลที่ไม่มีความหมายอะไรต่อการเทรด ใช้ไม่ได้จริง เป็น Holy grail ในโลกแห่งการเทรด เนื่องด้วยการตีความแบบผิดๆ หรือยังไม่เข้าใจที่แท้จริง ทำให้มองข้ามการพิจารณา Risk reward ratio


# Risk reward ratio ไม่มีประโยชน์ : คิดว่าการคำนวณ Risk reward ratio เป็นเรื่องที่ไกลเกินความเป็นจริง และไม่มีประโยชน์ ถ้าพูดตรงๆ ก็เป็นเรื่องจริง โดยการใช้ Risk reward ratio เพียงเดี่ยวๆ นั้นไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย แต่ถ้านำมาคำนวณควบคู่กับตัวอื่นๆ จะเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพอย่างมาก

# Risk reward ratio เท่าไร่ถึงจะดี : บางคนบอกว่าต้องสูงๆ เช่น 4 : 1 หรือ 5 : 1 หรือหนังสือบางเล่มบอกถ้าต่ำๆ เช่น 2 : 1 หรือ 3 : 1 นั้นควรหลักเลี่ยง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับ Risk reward ratio ค่า Risk reward ratio ที่เหมาะสมนั้นขึ้นอยู่กับตัวเทรดเดอร์เอง ไม่ต้องไปตามคนอื่น พิจารณาเลือกให้เหมาะสมกับกลยุทธ์ของเรา

# Stop loss อยู่ที่ใจ : การที่เทรดเดอร์ไม่กำหนด Stop loss ก่อนเทรด ถือเป็นหายนะในการเทรดเลยก็ว่าได้ เพราะเราไม่สามารถรับรู้ความเสี่ยงของเราที่จะเกิดขึ้น การที่เรามี Stop loss นั้นจะสามารถคำนวณ Win rate , Risk reward ratio และ ผลตอบแทนที่คาดหวังได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นเสมือนเข็มทิศให้เราเดินทางได้อย่างถูกต้อง

#4 ปรับการเทรดเพื่อให้ได้ Risk reward ratio ดีๆ : การเลื่อน Stop loss เข้ามา หรือ ขยับจุดทำกำไรออกไป เพื่อให้ได้ Risk reward ratio ดีๆ นั้นเป็นสิ่งที่เทรดเดอร์ไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง หาก Risk reward ratio ไม่เหมาะสมให้ข้ามการเทรดนั้นออกไป เพราะการปรับเปลี่ยนจุด Stop loss หรือ จุดทำกำไร อาจส่งผลให้กลยุทธ์ที่วางไว้ไม่มีประสิทธิ เพราะถ้าเราขยับจุด Stop loss เข้ามาใกล้ๆ ก็ออกเกิดการลากกิน Stop loss บ่อยขึ้น หรือหากขยับจุดทำกำไรออกไป ก็จะทำให้โอกาสที่ราคาจะถึงเป้าหมายนั้นมีน้อยลง

Risk reward ratio 101
            พื้นฐานการคำนวณ Risk reward ratio มาจากช่วงห่างระหว่างจุดที่เข้า กับ จุด Stop loss และ จุดทำกำไร มาเปรียบเทียบกัน และเมื่อได้ค่า Risk reward ratio มาแล้วสามารถนำมาคำนวณ Win rate ที่ควรมีเพื่อให้ผลตอบแทนที่คาดหวังเป็นบวก

          วิธีการคำนวณ
            Min. Win rate = 1 / (1 + Reward : Risk )
            หรือ
            Risk reward ratio ที่ต้องการ = ( 1 / Win rate ) – 1
ตัวอย่างเช่น
            - ถ้า Risk reward ratio = 2 : 1 , Win rate ควรเท่ากับ 1 / ( 1 + 2) = 33.33%
            - ถ้า Win rate = 70% , Risk reward ratio ควรเท่ากับ ( 1 / 0.70 ) – 1 = 0.43

            เทรดเดอร์ที่เข้าใจความสัมพันธ์เหล่านี้ไม่จำเป็นต้องมี Win rate ที่สูง หรือ Risk reward ratio ที่ดี แต่ขอเพียงให้ Win rate และ Risk reward ratio มีสัดส่วนที่เหมาะสม ก็สามารถทำกำไรในระยะยาวได้แล้ว

ทีมงาน : thaiforexbroker.com

วิเคราะห์รูปแบบการเคลื่อนไหวราคา (Wave)

          Wave analysis – การวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคา เป็นวิเคราะห์ที่ไม่ตายตัว ไม่มีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน ซึ่งการวิเคราะห์นี้สามารถบ่งชี้ถึงการเคลื่อนไหวของแนวโน้มราคาและเข้าใจมันมากขึ้น

4 ประเภท ของ Wave patterns
  1. The single wave : เป็น Wave patterns ที่บ่งชี้อะไรไม่ได้มาก จะคล้ายกับรูปแบบ V-top bottom โดยรูปแบบนี้เทรดเดอร์ไม่สามารถจับจังหวะเข้าไปเทรดได้
  2. Grinding wave : วิธีการดู Wave นี้จะใช้ Bollinger band ในการดู คือ Wave ที่เป็นช่วงราคาไต่กรอบของกรอบ Bollinger เป็นช่วงที่แนวโน้มแข็งแกร่ง

  1. Wave exhaustion : เป็นช่วงนี้ Wave นั้นแสดงถึงความอ่อนแรงลงในการเคลื่อนไหว สามารถสังเกตได้จากการที่ราคาเคลื่อนไหวฉีกออกจากกรอบ Bollinger (จากเดิมที่ไต่กรอบดังกล่าว) หรือไม่ก็ช่วงที่เกิด Divergence

  1. Spiking wave : คล้ายกับ Wave exhaustion แต่ที่เพิ่มเติมคือจะเห็นแท่งเทียนที่เป็นพวก Pinbar เกิดขึ้นใน Wave ดังกล่าว

ในประเภทที่ 3 และ 4 สามารถใช้หาจุดกลับตัวของราคาได้ ส่วนประเภทที่ 1 และ 2 ไม่เหมาะกับเทรดเดอร์ที่เป็นเทรดสไตล์หาจุดกลับตัว

การวิเคราะห์ Wave pattern นั้นมีทั้งข้อดีและข้อดี ซึ่งข้อดีของมันคือ สามารถสร้างความแตกต่างระหว่างเทรดเดอร์ทั่วไปกับเทรดเดอร์มืออาชีพได้ เนื่องจากเทรดเดอร์ทั่วไปมักเทรดรูปแบบที่ชัดเจน ง่ายๆ แต่การวิเคราะห์ Wave pattern นั้นเป็นอะไรที่ไม่ตายตัว ต้องอาศัยการวิเคราะห์ที่ดี แต่ข้อเสีย คือ การเทรดจริงค่อนข้างยาก ไม่รู้ว่าจะเปิด ปิดออเดอร์ตรงไหนถึงมีประสิทธิภาพมากที่สุด

ทีมงาน : thaiforexbroker.com

วิเคราะห์ Intermarket

        ในการเทรด Forex นั้นเป็นการซื้อและขายเกี่ยวกับค่าเงิน ซึ่งมูลค่าของค่าเงินนั้นมีผลกระต่อเศรษฐกิจโดยตรงต่อแต่ละประเทศ อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่าง ตลาดหุ้น , ราคาทองคำ , พันธบัตร , น้ำมัน สิ่งต่างๆนี้ล้วนมีแต่ความสัมพันธ์กันทั้งสิ้น ดังนั้นหน้าที่ของเราที่เป็นเทรดเดอร์ในตลาด Forex แห่งนี้นั้นก็ควรจะทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเหล่านี้ เพื่อสร้างความได้เปรียบในการเทรดเพิ่มมากขึ้น


ถ้า ...จะเพราะว่า ...
Gold
ขึ้น
USD
ลง
ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจไม่แน่นอน นักลงทุนมักจะหันไปถือสินทรัพย์ปลอดภัยแทน อย่างทองคำ ไม่ถือดอลลาร์
Gold
ขึ้น
AUD/USD
ขึ้น
ประเทศออสเตรเลียเป็นประเทศที่ผลิตทองคำมากสุดเป็นอันดับ 3 ของโลก มูลค่าราว 5 พันล้านต่อปี
Gold
ขึ้น
NZD/USD
ขึ้น
ประเทศนิวซีแลนด์เป็นประเทศผู้ผลิตทองคำรายใหญ่เช่นเดียวกัน (อันดับที่ 25 ของโลก)
Gold
ขึ้น
USD/CHF
ลง
ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ มีทองคำสำรองถึง 25 %
ทำให้เมื่อราคาทองคำขึ้น ราคาเงินจึงลง  
Gold
ขึ้น
USD/CAD
ลง
ประเทศแคนนาดาเป็นประเทศผู้ผลิตทองคำรายใหญ่เช่นเดียวกัน
ช่วงที่ราคาทองคำขึ้น ค่าเงิน CAD ลง
Oil
ขึ้น
USD/CAD
ลง
ประเทศแคนนาดาเป็นหนึ่งผู้ส่งออกน้ำมัน อันดับต้นๆของโลกเช่นเดียวกัน มูลค่าการส่งออกถึง 2 ล้าน barrels ต่อวัน กับคู่ค้าหลักคือ U.S. ถ้าราคาน้ำมันขึ้น USDCAD ก็จะลง
Gold
ขึ้น
EUR/USD
ขึ้น
EUR เป็นค่าเงินที่เครื่องไหว
Bond yields
ขึ้น
Local Currency
ขึ้น
ยิ่งถ้าราคาพันธบัตรให้ผลตอบแทนมาก (ดอกเบี้ยสูงขึ้น) ยิ่งดึงดูดให้นักลงทุนหันมาเข้าซื้อ ส่งผลให้ค่าเงินในประเทศแข็งขึ้น
Dow
ลง
Nikkei
ลง
ประสิทธิภาพของตลาดหุ้นสหรัฐและญี่ปุ่นนั้นสัมพันธ์กันอย่างมาก เนื่องด้วยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกัน
Nikkei
ลง
USD/JPY
ลง
คนเชื่อว่าค่าเงิน Yen เป็น Safe heaven เช่นกัน ถ้าในช่วงตลาดหุ้นตกต่ำ ภาวะเศรษฐกิจแย่ ค่าเงินเยนจะเป็นแหล่งที่พักเงินสำหรับช่วงดังกล่าว

ทีมงาน : thaiforexbroker.com

วัตถุที่เคลื่อนที่ก็จะยังคงเคลื่อนที่ต่อไป

          Marty schwartz หนึ่งใน Market wizard ที่เป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จในเส้นทางนี้ โดยเจ้าของหนังสือชื่อดังอย่าง Pit Bull : Lessons from Wall Street’s Champion Trader เป็นหนังสือที่ว่าเทรดเดอร์ทุกคนต้องอ่านกันเลยทีเดียว … ในบทความนี้กล่าวถึงหลักการหนึ่งที่ Marty schwartz ย้ำอยู่เสมอว่าเป็นหลักในการเทรดที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จในอาชีพนี้ คือ “วัตถุที่เคลื่อนที่ก็จะยังคงเคลื่อนที่ต่อไป”


            คล้ายกับกฎข้อที่ 1 ของ Newton ที่ว่า “วัตถุที่หยุดนิ่งจะยังคงหยุดนิ่งต่อไป และวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่ก็จะยังคงรักษาสภาพการเคลื่อนที่นั้น ตราบใดที่ไม่มีแรงมากระทำต่อวัตถุ หรือแรงที่มากระทำนั้นหักล้างกันเป็นศูนย์”

            เช่นเดียวกันการเคลื่อนไหวของ “ราคา” เมื่อราคาเคลื่อนไหวอย่างเป็นแนวโน้ม ราคามักจะวิ่งต่อตามแนวโน้มนั้นต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับการกระทำของเทรดเดอร์มือใหม่ที่มักชอบหาจุดสูงสุด และจุดต่ำสุดในการเทรด มักชอบเทรดสวนเทรด ทำให้การเทรดนั้นแย่ สิ่งที่ควรทำคือ เทรดตามเทรนดีกว่า

Credit : Tradeciety

            จากภาพด้านบนเป็นตัวอย่างกราฟของดัชนี S&P500 (เส้นสีดำ) ส่วนพื้นที่สีเขียวแสดงถึงช่วงที่ราคาสร้าง High ใหม่สูงสุดในรอบ 3 เดือน และพื้นที่สีแดงแสดงถึงช่วงที่ราคาสร้าง Low ต่ำสุดในรอบ 3 เดือน ซึ่งจะเห็นได้ว่า เวลาตลาดขึ้นทำ High หรือ Low นั้น จะเป็นลักษณะต่อเนื่อง ไม่ได้สลับกัน ช่วงขึ้นก็จะขึ้นไปเรื่อยๆ ช่วงลงก็จะลงไปเรื่อยๆ ซึ่งถ้ามือใหม่ส่วนมากมักชอบไปทำนายหาจุดต่ำสุดหรือจุดสูงสุด ซึ่งในความเป็นจริงไม่มีใครรู้ สิ่งที่เราทำได้คือเทรดไปตามแนวโน้มที่มันกำลังเกิด นั่นแหละเป็นหลักการที่เหมาะสมที่สุด

ทีมงาน : thaiforexbroker.com

วัดเป้าหมายทำกำไร

          ในบทความนี้จะมาแชร์ 3 วิธี ในการวัดเป้าหมายทำกำไรในการเทรด เพื่อให้เพื่อนๆเทรดเดอร์ได้นำไปประยุกต์ใช้กันนะครับ


  1. วัดจาก Momentum
            สามารถขึ้นเท่าไหนก็สามารถลงเท่านั้น หรือ สามารถลงเท่าไหนก็สามารถขึ้นเท่านั้น
            โดยการวัดเป้าหมายการ Momentum นั้นมาจากวัดรอบการ Pullback ของราคา สมมติราคาเกิดการ Breakout ขึ้นทำ High ใหม่ เราสามารถวัดเป้าหมายได้จากการวัดรอบการ Pullback ก่อนหน้า แล้วต่อระยะทางขึ้นไปเพื่อหาจุดทำกำไร


  1. Fibonacci Extension
            เป็นการวัดรอบการต่อตัวของราคา คล้ายกับการวัด Momentum เช่นกัน แต่จะแตกต่างกันตรงที่ว่าการใช้ระดับ Fibonacci นั้นจะมีหลายระดับให้เลือกตัดสินใจ ซึ่งจะเป็นตัวช่วยหาเป้าหมายการทำกำไรของเราได้เช่นเดียวกัน

  1. เส้นค่าเฉลี่ย
          น้อยกว่าเลยสักนิด โดยในช่วงที่ราคาเคลื่อนไหวเหนือเส้นค่าเฉลี่ยนั้นแสดงถึงทิศทาง Bullish ถ้าเราถือสถานะ Long อยู่ ก็ถือต่อจนกว่าราคาจะลงมาต่ำกว่าค่าเฉลี่ยดังกล่าว ถึงค่อยออกทำกำไร ถ้าราคากลับมาต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเมื่อไหร่ก็เป็นสัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้มของราคา


ถ้าใครสนใจเครื่องมือไหนก็ลองนำไปใช้กันดูนะครับ ส่วนเรื่องรายละเอียดที่ว่า Fibonacci Extension ต้องใช้ลำดับเลขเท่าไหร่ หรือเส้นค่าเฉลี่ยใช้ค่าอะไรดี อันนี้บอกได้เลยว่าไม่มีถูกผิด ขึ้นอยู่ว่าตัวเทรดเดอร์ใช้สิ่งนี้แล้วเหมาะสมก็โอเครแล้วครับ แต่ถ้าใครยังไม่มีไอเดียในการเลือกลำดับเลข และจำนวนวันของเส้นค่าเฉลี่ย เดี๋ยวบทความหน้าจะมาลงรายละเอียดในส่วนนี้ให้ครับ

ทีมงาน : thaiforexbroker.com

วันพุธที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

วัฏจักรในการเทรด

 

            การเทรดไม่ใช่หาจุดเข้า จุดออกอย่างเดียว ยังมีสิ่งอื่นอีกมากมายที่ต้องคำนึงถึงไม่แพ้กัน ทั้งการวางแผน การจัดการบริหารความเสี่ยง เป็นต้น ซึ่งเราจะมาพูดถึง “วัฏจักรในการเทรด” ว่าเทรดเดอร์จะต้องทำอะไรบ้างในการเทรด
  1. วางแผน: เตรียมสินค้าที่จะเทรด ว่าเราจะเทรดอะไร ค่าเงิน , น้ำมัน , ทองคำ เป็นต้น และทำ Watch list ของตัวที่เราสนใจ
  2. รอ: รอจนกว่าจะครบเงื่อนไขของสัญญาณของเราที่ตั้งไว้ตามแผนการเทรด
  3. เข้าเทรด: เมื่อครบเงื่อนไขแล้วและราคามาถึงที่เราต้องการ คำนวณ Win loss ratio และ RRR ที่เหมาะสม แล้วก็เข้าไปเทรด
  4. จัดการความเสี่ยง: ควบคุมขนาดออเดอร์ให้เหมาะสมกับพอร์ต ตามข่าวสารต่างๆ
  5. ออกเทรด: เมื่อราคาถึงเป้าหมายก็ออกจากการเทรด หรือหากผิดทางก็ Stop loss โฟกัสตามแผนที่วางไว้แต่ตอนแรก ไม่ดื้อ
  6. ทบทวนการเทรด: ทำบันทึกการเทรด และทบทวนการเทรดที่ผ่านมาว่าเป็นอย่างไร มีตรงไหนก็ต้องแก้ไขบ้าง หรือควรพัฒนาในจุดไหน

ทีมงาน : thaiforexbroker.com

เลือกกราฟให้เหมาะกับกลยุทธ์

       ในตลาด Forex มีคู่สกุลต่างๆ ให้เลือกเป็นจำนวนมาก เทรดเดอร์ส่วนมากก็จะเลือกเทรดจากคู่สกุลเงินที่เป็นที่นิยม คนส่วนมากเทรดกัน มีข่าวต่างๆ รายงานอยู่ตลอด ซึ่งแต่ละคู่สกุลเงินการเคลื่อนไหวก็จะแตกต่างกันออกไป การเลือกว่าจะเทรดคู่เงินสกุลไหนนั้น ค่อนข้างเป็นอะไรที่เทรดเดอร์ที่ต้องให้ความสำคัญกับมัน เพราะว่าบางตัวกำลังเคลื่อนไหว Sideway ถ้าเทรดเดอร์เป็นเทรดสไตล์ Trend-following ก็อาจไม่เหมาะ เทรดเดอร์ต้องเลือกเล่นเกมส์ที่เราถนัด


            สไตล์การเทรดที่แตกต่างกันไม่ว่าจะเป็น Trend-following , Mean-reversion , Breakout หรืออื่นๆ ก็ต้องเลือกตลาดที่เหมาะสมกับเรา เนื่องจากไม่มีกลยุทธ์ใดที่สามารถชนะทุกสภาพตลาด แต่ละกลยุทธ์มีข้อดีข้อเสียต่างกันออกไป

            การดูกราฟว่าตัวไหนควรเทรด หรือไม่ควรเทรดนั้นเป็นสิ่งสำคัญ จากตัวอย่างกราฟด้านล่าง ถ้าคุณเป็นเทรดเดอร์สไตล์ Trend-following คุณอยากจะเห็นภาพนี้ไหม ? เป็นช่วงที่ราคาแกว่งตัวในกรอบเป็นเวลานาน ถ้าทำกลยุทธ์การเทรดแบบ Trend-following ไปใช้รับรองได้ว่าแพ้แน่นอน



            สภาพตลาดมีอยู่ 2 อย่าง คือ Ranging และ Trending น่าที่ของเทรดเดอร์คือวิเคราะห์สภาพตลาดดังกล่าว แล้วใช้กลยุทธ์ที่เราถนัดกับสภาพตลาดนั้น ทุกช่วงที่ Ranging สุดท้ายแล้วก็ต้องกลับมาเป็น Trend  และทุกครั้งที่ Trending สุดท้ายก็ต้องกลับมาเป็น Ranging จับจังหวะมันให้ได้ ถ้าเป็น Trend-following ก็ดูว่าในช่วงที่ผ่านมาเป็น Trend หรือเปล่า ถ้าเป็น Mean-reversion ก็ดูว่ามันที่ผ่านมาตลาดเป็น Ranging หรือเปล่า

ทีมงาน : thaiforexbroker.com

ลำดับเลขมหัศจรรย์ Fibonacci

ถูกคิดค้นโดยนักคณิตศาสตร์ที่ชื่อว่า Leonardo Fibonacci โดยเขาได้ค้นพบสัดส่วนนี้ในทางคณิตศาสตร์ซึ่งมีความสัมพันธ์กับธรรมชาติหลายๆอย่าง อาธิเช่น กลีบดอกไม้ สัดส่วนคน เปลือกหอย ปิรามิด เป็นต้น ซึ่งนักเทคนิคต่างๆจึงเชื่อว่าลำดับเลขนี้จะสามารถนำมาใช้ในการเทรดได้เช่นกัน
            ลำดับเลขที่ว่านี้มาจากการบวกเลขตั้งแต่ 0 และบวกตามลำดับมาเรื่อยๆ ดังนี้ 0 , 0+1=1 , 1+0=1 , 1+1=2 , 2+1=3 , 3+2 = 5 , 5+3 = 8 , 8+5=13 , … บวกไปเรื่อยๆ จะได้ลำดับเลขตามนี้ : 0 , 1 ,1 , 2 , 3 , 5 , 8 , 13 , 21, 34 , 55 , 89 , 144 … ไปเรื่อยๆ และนำลำดับเลขเหล่านี้มาหารกันในรูปแบบต่าง ๆ (ตามตารางด้านล่าง) ก็จะได้สัดส่วนต่างๆ เช่น 0 , 0.382 , 0.50 , 0.618 , 1 , 1.382 , 1.618 … ซึ่งนี้แหละเป็นสัดส่วนของ Fibonacci แล้วเราจะนำสัดส่วนนี้ไปใช้การเทรด

            เทรดเดอร์นิยมใช้สัดส่วนเหล่านี้เป็นตัวใช้หาแนวรับ แนวต้าน ใช้หาจุดทำกำไร และจุดตัดขาดทุน ซึ่งสามารถนำมาใช้ประกอบสร้าง Trader setup ได้อีกด้วยเช่นกัน โดยหลักๆเครื่องมือ Fibonacci มีอยู่ 2 อย่าง คือ
  1. Fibonacci retracementใช้หารอบการย่อตัว
  2. Fibonacci extensionใช้หารอบการแกว่งตัวไปต่อ
            การวัดระดับ Fibonacci นั้นจะพิจารณาการรอบ Swing high และ swing low หรือรอบการแกว่งตัวนั้นเอง

การวัด Fibonacci retracement

จากตัวอย่างการวัด Fibonacci retracement ในช่วง Uptrend เป็นในส่วนของค่าเงิน GBPUSD ราคาปรับตัวขึ้นจากระดับ 1.45658 ไปสู่ 1.58148 ซึ่งจะเห็นรอบ Swing Low ที่ 1.45658 และ Swing high ที่ 1.58148 เราก็สามารถตี Fibonacci จากซ้ายขึ้นไปสู่ด้านบน เพื่อหารอบการย่อตัวของราคาในรอบนี้ จะเห็นได้ว่าจากตัวอย่างราคาลงมาพักตัวที่ระดับ 0.50 พอดี ที่ 1.52000 แล้วก็ทำการปรับตัวขึ้นต่อตามแนวโน้มเดิม (ปกติการย่อตัวของราคาในช่วงแนวโน้มแข็งแกร่งมักจะย่อตัวมาที่ระดับ 38.20% หรือ 50%)

การวัด Fibonacci extension

          ตัวอย่างการวัด Fibonacci extension ของค่าเงิน USDEUR ที่วัดรอบการแกว่งตัวการไปต่อของขาลง โดยเริ่มวัดการรอบ Swing high ที่บริเวณ 0.7900 มาสู่รอบ Swing low ที่ 0.7650 และ Swing high ที่ 0.7760 (จากวัด Fibonacci extension จะใช้จุด swing 3 จุด) จะเห็นได้ว่าราคามาจบรอบการลงที่ระดับ 1.618 ที่ 0.73020 พอดี แล้วก็กลับตัวเป็นขาขึ้น
            แม้จากตัวอย่างที่นำมาแสดงให้เห็นจะเห็นได้ว่า Fibonacci นั้นค่อนข้างแม่น แต่อย่างไรก็ดียังมีอีกหลายตัวอย่างที่ราคาไม่เป็นไปตามระดับ Fibonacci ซึ่งในทางที่ดีควรใช้เครื่องมืออื่นๆในการประกอบการเทรด เพื่อสร้างประสิทธิภาพให้มากที่สุด หรือใครที่ใช้เครื่องมือ Fibonacci ในการเทรดเพียงเครื่องมือเดียวก็ต้องเข้าใจมันว่า ทุกเครื่องมือนั้นมีโอกาสผิดพลาดได้ เพียงแต่เราต้องเข้าใจว่าความผิดพลาดนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งในการเทรด ไม่ใช่ว่าเครื่องมือนั้นไม่ดี

ทีมงาน : thaiforexbroker.com

ลบแท่งเทียนเพื่อดูเทรน

         หลักการง่ายๆในการเทรดมี 2 อย่าง คือ แยกแยะแนวโน้ม และ หาแนวรับแนวต้าน โดยถ้าเทรดเดอร์สามารถระบุ 2 สิ่งนี้ได้ ก็จะสามารถทำกำไรในการเทรดได้อย่างง่ายดาย เป็นการสอนที่ถ่ายทอดกันมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งดูเหมือนง่ายตอนเรียน ต่อพอมาเจอจริงๆ กลับยากมาก ราวกับคนละโลกกันเลยทีเดียว โดยเฉพาะการ “แยกแยะแนวโน้ม”

            แนวโน้มมี 3 ประเภท
  1. ขาขึ้น

  1. ขาลง

  1. Sideway

            เวลาเทรดให้เทรดตามแนวโน้มจะเกิดประสิทธิภาพในการเทรดสูงที่สุด แต่ประเด็นคือจะทราบได้อย่างไรว่าแนวโน้มแต่ละช่วงเป็นลักษณะใด
            ตามตำรา
          แนวโน้มขาขึ้น : ราคาขึ้นทำ Higher High และ Higher Low
          แนวโน้มขาลง : ราคาลงทำ Lower Low และ Lower High

            เทรดเดอร์ส่วนมากมักมีปัญหากับการโดน “หลอก” ในช่วงการเปลี่ยนแนวโน้ม อย่างตอนช่วงในแนวโน้มขาขึ้น ราคากลับมาสร้าง Low ใหม่ > เป็นสัญญาณขาลง แต่กลับลงไม่จริง กลับขึ้นแสกหน้าเรา
            เหตุผลหลักๆที่เจอก็เพราะว่าเทรดเดอร์ไม่สามารถแยกแยะได้ว่า อันไหนคือ High จริง และ อันไหนคือ Low จริง เพราะในกราฟเต็มไปด้วย High และ Low เต็มไปหมด

อันไหนคือ High ? อันไหนคือ Low ?

            เรามีวิธีการง่ายๆ มีให้เทรดเดอร์ใช้ในการแบ่งแนวโน้มกันคือการใช้ “เส้นค่าเฉลี่ย” แทนในการดูกราฟแท่งเทียน โดยจะใช้เส้นค่าเฉลี่ยธรรมดา (SMA) แต่จะใช้ค่าเฉลี่ยของ High และเฉลี่ยของ Low ในการดูแนวโน้ม (ปกติทั่วไปใช้ Close) และปรับค่าตามระยะเวลาที่เราใช้เทรด ซึ่งจะช่วยให้การดูช่วง High และ Low ในการแบ่งแยกแนวโน้มได้อย่างชัดเจนมากขึ้น



            เพราะ High และ Low ของการใช้เส้นค่าเฉลี่ยนั้นจะสามารถดูได้ค่อนข้างชัดเจนกว่าการดูกราฟบนกราฟแท่งเทียนปกติ
            และยิ่งเราลบกราฟแท่งเทียนออกไปก็จะเห็น High และ Low อย่างชัดเจน



ลองนำไปใช้กันดูนะครับ

ทีมงาน : thaiforexbroker.com

รูปแบบแท่งเทียนพื้นฐาน

          รูปแบบแท่งเทียนนั้นมีหลากหลายตั้งแต่ 1 แท่งเทียนประกอบกัน จนถึง หลายๆ แท่งเทียนประกอบกัน ในเบื้องต้นของการวิเคราะห์รูปแบบแท่งเทียนนั้นก็ต้องเริ่มจากรูปแบบพื้นฐานกันก่อนเป็นอย่างแรก จากนั้นค่อยต่อยอดไปในขั้นถัดไป


Spinning tops: แท่งเทียนที่มีลักษณะไส้เทียนข้างบนและข้างล่างยาวๆ ส่วนตัวเทียนมีขนาดเล็กอยู่บริเวณตรงกลางของแท่งเทียน
            เป็นรูปแบบที่แสดงถึงความไม่แน่นอนระหว่าง ผู้ซื้อ และ ผู้ขาย

ตัวเทียนที่มีขนาดเล็กแสดงถึงการเคลื่อนไหวเล็กน้อยจากราคาเปิด สู่ราคาปิด และไส้เทียนที่ยาวๆของทั้ง 2 ข้างแสดงถึงการต่อสู้ระหว่างผู้ซื้อ และผู้ขาย ที่ยังไม่มีผู้ชนะ
  • ถ้า Spinning top เกิดในช่วงแนวโน้มขาขึ้น ก็เป็นสัญญาณการกลับตัวได้เช่นกัน เนื่องจากแรงของฝั่งซื้อเริ่มหมดไป มีแรงของฝั่งขายเข้ามาสู้ ราคามีโอกาสปรับตัวลงได้
  • แต่ถ้า Spinning top เกิดในช่วงแนวโน้มขาลง ก็เป็นสัญญาณการกลับตัวได้เช่นกัน เนื่องจากแรงของฝั่งขายเริ่มหมดไป มีแรงของฝั่งขายเข้ามาสู้ ราคามีโอกาสกลับตัวขึ้นได้

Marubozu: แท่งเทียนที่มีลักษณะปิดเต็มแท่ง มีตัวเทียนขนาดใหญ่ ไม่มีไส้เทียน หรือมีน้อยมาก ว่ากันง่ายๆเลยคือบริเวณ High และ Low เป็นบริเวณเดียวกับ Open และ close

  • White marubozu คือราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด และแท่งเทียนมีขนาดใหญ่ แสดงถึงแรงซื้อที่แข็งแกร่งอย่างมาก ราคาอยู่ในภาวะ Bullish
  • Black marubozu คือราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด และแท่งเทียนมีขนาดใหญ่ แสดงถึงแรงขายที่แข็งแกร่งอย่างมาก ราคาอยู่ในภาวะ Bearish

Doji: คือราคา Open และ Close เป็นบริเวณเดียวกัน หรือไม่ก็ใกล้กันมากๆ แสงถึงแรงซื้อและแรงขายที่ต่อสู้กัน จนสุดท้ายมาจบที่การเสมอกัน

            โดยประเภทของแท่งเทียนลักษณะ Doji สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท
  • Long-legged doji: ไส้เทียนที่ยาวๆทั้งส่วนบนและส่วนล่าง
                        - ถ้าเกิดในแนวโน้มขาขึ้น ก็เป็นสัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้มกลายเป็นขาลง
                        - ถ้าเกิดในแนวโน้มขาลง ก็เป็นสัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้มกลายเป็นขาขึ้น
  • Dargonfly doji: ไส้เทียนด้านล่างที่ยาวๆ
- แสดงถึงระหว่างวันแรงขายพยายามทำให้ราคาปรับตัวลง แต่สุดท้ายมีแรงซื้อกลับเข้ามาอย่างรุนแรง เป็นสัญญาณ Bullish
  • Gravestone dojiไส้เทียนด้านบนที่ยาวๆ
- แสดงถึงระหว่างวันแรงซื้อพยายามทำให้ราคาปรับตัวขึ้น แต่สุดท้ายมีแรงขายกลับเข้ามาอย่างรุนแรง เป็นสัญญาณ Bearish
  • Four price doji: ไม่มีไส้เทียน
                        - มักไม่ค่อยเกิดขึ้น มักเกิดในช่วงที่ไม่มีการซื้อขายระหว่างวัน

ทีมงาน : thaiforexbroker.com

รูปแบบแท่งเทียน แบบ 3 แท่ง

         ยิ่งการประกอบของแท่งเทียนที่มากขึ้น ก็จะทำให้ประเมินมีน้ำหนักในการวิเคราะห์มากขึ้น ประสิทธิภาพในการกลับตัวก็มากขึ้นตามอีกด้วย โดยแท่งเทียนที่ประกอบด้วยแท่งเทียน 3 แท่งนั้น มีอยู่หลักๆ 3 รูปแบบที่เทรดเดอร์สายแท่งเทียนต้องรู้จักเลยคือ

  1. Evening และ morning star
  2. Three white soldiers และ three black crows
  3. Three inside up และ three inside down

Evening และ morning star
            เป็นรูปแบบที่ประกอบด้วย 3 แท่งเทียน ลักษระคล้ายๆ กัน ต่างกันที่การเกิดในช่วงแนวโน้มขาขึ้น หรือขาลงเท่านั้น โดย Evening star จะเกิดในปลายแนวโน้มขาขึ้น และส่วน morning star จะเกิดในปลายแนวโน้มขาลง

            ลักษณะของ Evening star
  • แท่งเทียนแรกเป็น Bullish candle (สีเขียว) ตามทิศทางเดียวกับแนวโน้มเดิมที่เป็นขาขึ้น
  • แท่งเทียนที่ 2 เป็นลักษณะ แท่งเทียนเล็กๆ แสดงถึงแรงซื้อ แรงขาย ที่ยังตัดสินไม่ได้ว่าใครมีกำลังมากกว่ากัน
  • แท่งเทียนที่ 3 เป็นการยืนยันการกลับตัว โดยเป็นแท่งเทียนที่เป็น Bearish candle (สีแดง) โดยปิดต่ำกว่าครึ่งของแท่งเทียนแท่งแรก
            ส่วน Morning star ก็ตรงกันข้าม

Three white soldiers และ Three black crows
            Three white soldiers: รูปแบบที่ประกอบด้วยแท่งเทียนลักษณะ Bullish candles ติดต่อกัน 3 แท่ง หรือว่าง่ายๆเลยคือ เขียว 3 แท่งติดต่อกัน เป็นสัญญาณการกลับตัวเป็นขาขึ้น แสดงถึงแรงซื้อที่เข้ามาอย่างรุนแรง โดยขนาดแท่งเทียนมักจะไล่ตามลำดับแท่งเทียน คือแท่งเขียวถัดมาจะค่อยๆใหญ่ขึ้น ตามลำดับ
            Three black crows: ตรงกันข้ามกันเลย คือประกอบด้วยแท่งแดง 3 แท่งติดต่อกัน เป็นสัญญาณการกลับตัวจากแนวโน้มขาขึ้นเป็นขาลง มีแรงขายเข้ามาอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง

Three inside up และ three inside down

            Three inside up: รูปแบบแท่งเทียนที่มักเจอในจุดกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้น ประกอบด้วย
  • แท่งเทียนแรกที่เป็นลักษณะ Bearish candlestick หรือแท่งแดง ตามแนวโน้มของขาลงที่อ่อนตัวลงมา
  • แท่งเทียนที่ 2 เป็นแท่งเทียน Bullish หรือแท่งเขียว ที่แสดงถึงเริ่มมีแรงซื้อเข้ามา โดยอย่างน้อยๆ ต้องปิดขึ้นสูงกว่าครึ่งนึงของแท่งแรก
  • แท่งเทียนที่ 3 เป็นแท่งเทียน Bullish เช่นเดียวกัน และการปิดนั้นต้องเหนือกว่า High ของแท่งแรกเพื่อยืนยันการกลับตัว แสดงถึงแรงซื้อที่มีอำนาจเหนือแรงขาย
            ส่วน Three inside down ก็ตรงกันข้ามนั่นเอง

ทีมงาน : thaiforexbroker.com